ดีอีเอส
โดยกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้เอ็นทีจัดทำศูนย์ข้อมูลสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ติดตั้งสถานีตรวจวัดฝุ่น PM 8,000
แห่งกว่า 5,000 ตำบล เพื่อเตือนภัยประชาชนพร้อมเปิดโอกาสให้หน่วยงานใช้ประโยชน์ข้อมูลฟรี
ชัยวุฒิ
ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
เป็นประธานเปิดที่ทำการศูนย์ข้อมูลสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามภารกิจหลักของรัฐบาลที่ต้องการดูแลสุขภาพของประชาชนทั้งหมดทั่วประเทศ
และนาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่
บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นที เข้าร่วม ณ อาคาร NT Tower บางรัก กรุงเทพฯ
ศูนย์ข้อมูลสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
(National
Environmental Data) เป็นโครงการที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
(ดีอีเอส) โดยกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้มอบทุนอุดหนุนการวิจัยให้ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)
หรือ เอ็นที เป็นผู้ดำเนินการเพื่อติดตั้งสถานีตรวจวัดฝุ่น และภูมิอากาศในประเทศไทย
โดยมีเป้าหมายเพื่อตรวจวัดและวิเคราะห์ข้อมูลฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM) เพื่อแจ้งเตือนแก่ประชาชน
โครงการศูนย์ข้อมูลสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
มีเป้าหมายในการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ จำนวนทั้งสิ้น 8,000 สถานี ทั้ง 76
จังหวัด ครอบคลุมพื้นที่กว่า 900 อำเภอ 5,000 ตำบล
โดยกำหนดพื้นที่เป้าหมาย คือพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของประชากรสูง
หรือเป็นพื้นที่ที่มีผลกระทบหรือความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก
โดยสถานีทั้งหมดจะสามารถเก็บข้อมูลต่าง ๆ ได้แก่ ฝุ่น PM 1
PM 2.5 PM 10 อุณหภูมิ
ความชื้น ความกดอากาศ รวมทั้งทิศทางและความเร็วลม ซึ่งสถานที่ติดตั้งสถานีฯ
ทั้งหมดของโครงการได้รับความร่วมมือจากกระทรวงหลักต่างๆ ของประเทศ อาทิ
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรุงเทพมหานคร ซึ่งข้อมูลคุณภาพอากาศและภูมิอากาศ
จะถูกเก็บทุก ๆ 5 นาที และส่งผ่านเครือข่าย LoRaWAN
ของเอ็นที และเข้าสู่คลังข้อมูล (Big
Data) เพื่อทำการจัดเก็บและวิเคราะห์ต่อไป และเมื่อโครงการฯ เก็บสะสมข้อมูลได้
ต่อเนื่องมากเพียงพอจะทำให้สามารถวิเคราะห์และพยากรณ์โอกาสที่จะเกิดปัญหาฝุ่น PM เฉพาะพื้นที่ได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลสิ่งแวดล้อมแห่งชาติยังให้บริการข้อมูลต่างๆ ที่เก็บรวบรวมได้จากสถานีตรวจวัดอากาศเหล่านี้ในแบบข้อมูลสาธารณะ (Open Data) แก่หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา ตลอดจนผู้สนใจ ให้สามารถนำไปใช้งานได้ตามความต้องการ
ไม่ว่าจะเพื่อการวิจัย ข้อมูลสถิติ หรือสร้างเป็น Software ใหม่
ๆ อันจะเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และเพื่อส่งเสริมการสร้างมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลอีกด้วย
สำหรับโครงการศูนย์ข้อมูลสิ่งแวดล้อมแห่งชาตินี้
นอกจากจะเป็นการดำเนินงานเพื่อการดูแลสุขภาพประชาชนเชิงรุกตามนโยบายหลักของรัฐบาลแล้ว
ยังเป็นโครงการต้นแบบของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในการสร้างทรัพยากรกลางด้านข้อมูล
(Big
Data) เพื่อให้ประชาชน สถาบันการศึกษาหรือบริษัทเอกชน นำไปใช้ประโยชน์และต่อยอดจากการดำเนินการของภาครัฐต่อไป
Adslthailand ได้สอบถามเพิ่มเติม ดร. วงกต วิจักขณ์สังสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานดิจิทัล บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความแตกต่างกรมอุตุนิยมวิทยากับศูนย์ข้อมูลสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีความแตกต่างกันเนื่องจากตัวอุปกรณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาจะเน้นเป็นเครื่องมือใหญ่วัดทิศทางลมเป็นหลักแต่สำหรับศูนย์ข้อมูลสิ่งแวดล้อมแห่งชาติใช้อุณหภูมิขนาดเล็กที่กระจายทั่วประเทศ โดยเน้นให้ข้อมูล PM 2.5 หรือ PM10 สภาพก๊าซต่างๆที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงและอุณหภูมิรวมสภาพการพยากรณ์อากาศพื้นที่นั้นๆทั่วประเทศ ฝนตกถึงแดดออกรวมไปถึงอุณหภูมิล่าสุดที่เกิดขึ้นในขณะนั้น
กรมอุตุนิยมวิทยาจะติดตั้งอุปกรณ์ในบริเวณที่สูงต่างจากศูนย์ข้อมูลสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่ทั่วประเทศ เราจะมีข้อมูลใกล้เคียงกับกรมควบคุมมลพิษ โดยอุปกรณ์ที่ติดจำนวนกว่า 8,000 แห่ง ติดตั้งเกือบทุกตำบลของประเทศไทยบนเทคโนโลยี LoRa Technology โดยอุปกรณ์ดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายจุดละประมาณ 20,000 บาทต่อ 1 แห่งส่งข้อมูลมาจากระบบ Cloud ของบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติจำกัดมหาชน Big Data เข้าสู่ระบบ API
โดยมีการเทียบข้อมูลปรับปรุงควบคุมมลพิษก่อนที่จะแสดงผลให้ประชาชนด้วยอุปกรณ์ส่วนใหญ่อยู่ที่ภาคเหนือการเผาไหม้ป่าเป็นจำนวนมากดังนั้นจึงต้องใช้ข้อมูลดังกล่าวในการช่วยเหลือประชาชน ช่วยเหลือภาครัฐและภาคเอกชนให้สามารถเข้าดับไฟป่าได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพและถูกที่สุด
งบประมาณในการได้รับการสนับสนุนในครั้งนี้อยู่ที่ประมาณ 220 ล้านบาทซึ่งในอนาคตจะมีการของบประมาณเพิ่มขึ้นเนื่องจากข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตและสำคัญต่อเศรษฐกิจในการพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว