LINE ประเทศไทย เปิดผลงานปี 2021 กับความก้าวหน้าในการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนธุรกิจไทยสู่ดิจิทัลสำเร็จ เร่งเครื่องเดินหน้าต่อปี
2022 มุ่งยกระดับและเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้ทัดเทียมธุรกิจระดับโลก
ผลักดันการใช้งานฐานข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค ตลอดจนการออกแบบแบรนด์สินค้า
ด้วยเครื่องมือธุรกิจที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ และเสริมด้วยการให้ความรู้บนแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง
พร้อมเผยแผนธุรกิจในอนาคตปี 2023 เตรียมผลักดันธุรกิจไทยให้ก้าวกระโดดนำหน้าในโลกยุคใหม่
นายนรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ
LINE ประเทศไทย กล่าวว่า ปี 2564
ต่อเนื่องมาถึงปี 2565 เป็นปีที่ท้าทายสำหรับทุกคน
เกิดการปรับตัวอย่างมากทั้งเรื่องของไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตและวิธีในการดำเนินธุรกิจ
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดในช่วงแรกเป็นเพียงการปรับตัวเพื่อแก้ปัญหาการดำเนินชีวิตแบบเฉพาะหน้า
แต่ปัจจุบัน หลายอย่างได้กลายเป็นพฤติกรรมกระแสหลักไปแล้ว อาทิ การทำงานจากบ้าน (Work
From Home) การใช้บริการส่งของหรือส่งอาหาร (Delivery) และยังรวมไปถึงพฤติกรรมใหม่ที่น่าจับตามองในระบบเศรษฐกิจในโลกใหม่
อย่างเช่น การหารายได้ในรูปแบบสกุลเงินดิจิทัล (Play to Earn) นอกจากนั้น ยังมีการเปลี่ยนแปลงที่คาดการณ์ไม่ได้และกำลังเกิดขึ้นอีกมากมาย
ไม่ว่าจะเป็น การกลับมาระบาดของโควิด 19 ราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น
และแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อทั่วโลก
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจ LINE ในฐานะแพลตฟอร์มดิจิทัลชั้นนำของไทยทั้งในภาคการดำเนินชีวิตและธุรกิจ
จึงพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการส่งเสริมให้คนไทยรู้จักปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
ด้วยเครื่องมือที่ครบวงจรและหลากหลาย ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยก้าวผ่านสู่โลกธุรกิจยุคใหม่ที่ใช้ดิจิทัลขับเคลื่อน
และเตรียมตัวได้ทันสำหรับเทคโนโลยีใหม่ที่จะเกิดขั้นในอนาคต”
เปิดผลงาน LINE ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลไทย
ในปี 2564 ที่ผ่านมา
ประเทศไทยมีการเติบโตในเศรษฐกิจดิจิทัลเป็นอย่างมาก ดัชนีชี้วัดของการใช้งานบริการดิจิทัลผ่าน
LINE API ที่เติบโตขึ้นถึง 47% จาก 4.6 หมื่นล้านการดำเนินการในปี 2563 สู่ 6.9 หมื่นล้านการดำเนินการในปี 2564 สะท้อนให้เห็นถึงภาคธุรกิจที่ปรับตัวเข้าสู่ดิจิทัลโดยมี
LINE เป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการขับเคลื่อน โดยธุรกิจกลุ่มสถาบันการเงินยังคงเป็นผู้นำในการใช้งาน
LINE API ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างครบครันมากที่สุด
ส่วนกลุ่มธุรกิจสินค้าหรู Luxury ถือเป็นธุรกิจกลุ่มใหม่ที่มีการบริโภคภายในประเทศสูงขึ้นเป็นอย่างมาก
จากการบ่งชี้ของมูลค่าเงินลงทุนที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดบน LINE for
Business ถึง 200% ในช่วงปี 2562-2564 และเมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคในการซื้อของออนไลน์กลายเป็นพฤติกรรมกระแสหลัก
กลุ่มธุรกิจสินค้า Luxury จึงสามารถจับกระแสและสร้างการเติบโตต่อเนื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และที่น่าสนใจ คือ กลุ่มภาครัฐและบริการสาธารณะ กลายเป็นกลุ่มที่เติบโตทางด้านดิจิทัลมากที่สุดในปี
2564 ด้วยยอดการทำรายการดิจิทัลผ่าน LINE API เติบโตถึง 482 % เมื่อเทียบกับปี
2563 ตามมาด้วยกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ท่องเที่ยว
และค้าปลีก ที่ล้วนมียอดการเติบโตของการใช้งานผ่าน LINE API มากกว่า
100% ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างชัดเจนว่า LINE
มีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลไทย
และการเข้าถึงการบริการดิจิทัลของคนไทยทั้งประเทศ ในปีที่ผ่านมา
เสริมศักยภาพ ยกระดับธุรกิจไทยเทียบระดับสากล
สำหรับในปี
2565
นี้ LINE ยังคงมุ่งเป็นแพลตฟอร์มหลักสำหรับธุรกิจในการปรับตัวสู่ดิจิทัล
(Digitalization) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพ
ลดต้นทุน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่มธุรกิจไทย พร้อมเดินหน้าพัฒนาแพลตฟอร์ม และสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถให้กับธุรกิจทั้งเล็กและใหญ่
เพื่อให้ธุรกิจไทยมีความสามารถในการแข่งขันเทียบเท่ากับแบรนด์ในระดับสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจทุกวันนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ซึ่งกุญแจสำคัญในการเพิ่มศักยภาพให้ผู้ประกอบการไทยปรับตัวสู่ดิจิทัลได้คือ
ความรู้ ความเข้าใจในเรื่องของข้อมูลหรือดาต้า ที่จะเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการพัฒนาธุรกิจให้เติบโต
ทั้งนี้
สิ่งที่ยังเป็นข้อจำกัดหรือความท้าทายของผู้ประกอบการไทย นอกจากในเรื่องของความรู้
ความเข้าใจในการใช้งานข้อมูลที่ได้มาแล้ว กฎกติกา นโยบายในเรื่องการเก็บข้อมูลจากผู้บริโภคขององค์กรธุรกิจทั่วโลกก็กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป
โดยทุกองค์กรจะต้องเข้มงวด เคร่งครัด และให้ความสำคัญกับการขออนุญาตยินยอมในการเปิดเผยข้อมูลของผู้บริโภคมากขึ้น
การได้มาซึ่งข้อมูลจากผู้บริโภคอาจทำได้ยากขึ้นเพราะมีกฏระเบียบเพิ่มขึ้นมากมาย LINE ตระหนักถึงความสำคัญในส่วนนี้มาโดยตลอด
จึงได้พัฒนาโซลูชั่นบริหารจัดการข้อมูล (Data Solutions) ที่เหมาะสมกับกฎระเบียบทีเพิ่มมากขึ้น
ง่ายต่อการใช้งาน และมีประสิทธิภาพสูง
เพื่อที่จะสามารถผลักดันให้ธุรกิจไทยเข้าใจและพัฒนาในเรื่องการบริหารจัดการข้อมูลไปอีกขั้น
ให้ทัดเทียบมาตรฐานระดับสากล โดยที่ผ่านมา LINE มีโซลูชั่นจัดการข้อมูลให้กับแบรนด์ธุรกิจขนาดใหญ่ภายใต้ชื่อ
MyCustomer ซึ่งเป็นโซลูชั่นในการบริหารจัดการข้อมูลที่ทำให้แบรนด์สามารถเก็บข้อมูลโดยได้รับการอนุญาตจากลูกค้าโดยตรง
(1st party data consent) ทั้งจากภายในแพลตฟอร์ม
LINE หรือนำข้อมูลภายในของแบรนด์ หรือที่ได้จากช่องทางอื่นมารวมไว้ในที่เดียวกัน
เพื่อเป็นประโยชน์ในการเข้าถึงและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และนำไปใช้งานได้ทั้งในและนอกแพลตฟอร์ม LINE สำหรับในปีนี้ LINE
ได้พัฒนาโซลูชั่นใหม่ล่าสุดภายใต้ชื่อ Business Manager
โซลูชั่นบริหารจัดการข้อมูลอย่างง่าย เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่ไม่ได้ต้องการการบริหารงานข้อมูลที่ซับซ้อน
โดยจะเน้นไปที่การบริหารจัดการข้อมูลที่เกิดขึ้นโดยตรงบนแพลตฟอร์ม LINE ระหว่าง LINE Official Account และ LINE Ads
Platform เพื่อให้แบรนด์สามารถนำมาวิเคราะห์ นำเสนอสินค้าบริการที่โดนใจลูกค้า
นำไปสู่ความมีประสิทธิภาพและต้นทุนที่ต่ำลงในการปิดการขาย ผลักดันให้ทั้ง 2
โซลูชั่น
เป็นตัวช่วยสำคัญทำให้กลุ่มธุรกิจในไทยทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่
เข้าถึงและใช้งานดาต้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
และนโยบายความเป็นส่วนตัว
ที่กำลังส่งผลต่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเชิงการตลาดต่อองค์กรธุรกิจทั่วโลก
ส่งเสริมการพัฒนาเพิ่มมูลค่าแบรนด์
สภาวะทางธุรกิจที่มีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
นอกจากการดำเนินงานที่ต้นทุนต่ำและมีประสิทธิภาพกว่าเดิมแล้ว การเพิ่มมูลค่าของตัวแบรนด์ให้กับลูกค้าทั้งในรูปแบบสินค้า
บริการ หรือประสบการณ์ถือเป็นเรื่องที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญมาก เนื่องจากในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
แบรนด์ต้องสร้างการจดจำและสร้างความน่าเชื่อถือควบคู่กันไป นอกจาก บัญชีรับรอง (Verified
Account) ที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์แล้ว
ในปีนี้ LINE
พร้อมต่อยอดการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคธุรกิจไทยด้วยโปรแกรม
BLUE BADGE ในการให้ความรู้
จัดอันดับ และให้รางวัลแก่แบรนด์ที่ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
ทั้งในแง่ของสินค้า บริการ และทั้งในด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ การออกแบบร้านค้า
การออกแบบการบริการ การออกแบบประสบการณ์ที่สวยงาม ใช้งานง่าย
ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ซึ่งไม่เพียงให้ประโยชน์กับผู้ขายในแง่ภาพลักษณ์
และความน่าเชื่อถือ ที่จะกลายเป็นมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์ในยุคดิจิทัลได้เท่านั้น
แต่ยังให้ประโยชน์กับผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ในการเลือกซื้อสินค้าจากร้านค้าที่ไว้ใจได้
ได้รับการคัดสรรมาแล้วว่ามีมาตราฐานเทียบเคียงระดับสากลอีกด้วย
นอกจากนั้น
ในปี 2022-2023 LINE จะเตรียมความพร้อมเพื่อเดินหน้าเข้าสู่ธุรกิจโลกใหม่
ผ่านการพัฒนาโซลูชั่นสำหรับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ NFT (
Non-fungible Token) โดย LINE ตั้งเป้าที่จะเป็นแพลตฟอร์มที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานให้กับองค์กรธุรกิจไทยที่จะเดินหน้าสู่การทำการตลาดด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล
ทั้งในด้านการจัดหา creator ให้กับแบรนด์ และเป็น
ศูนย์กลางองค์ความรู้ในการใช้งาน NFT เพื่อธุรกิจ (
NFT for Business ) ด้วยการร่วมมือกับ LINE Consumer
Business ที่เพิ่งประกาศทิศทางในการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรม NFT
อย่างเต็มรูปแบบ
“นับตั้งแต่ Covid
แพร่ระบาด โลกมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกวัน ทุกเวลาในรูปแบบที่เราคาดการณ์ไม่ได้อีกต่อไป
ในช่วงเวลาที่ยากลำบากในการเผชิญความเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงเช่นนี้บุคคล ประเทศ หรือธุรกิจที่พร้อมปรับตัวให้มีความสามารถแข่งขันได้
ย่อมมีแนวโน้มที่จะอยู่รอดได้มากกว่า LINE ในฐานะแพลตฟอร์มใหญ่ที่มุ่งพัฒนาเครื่องมือและโซลูชั่นในการทำธุรกิจสำหรับคนไทย
เราขอยืนยันว่าจะเป็นแรงผลักดัน เคียงข้างธุรกิจไทยและคนไทยในการแก้ไขปัญหา เพิ่มประสิทธิภาพ
ยกระดับศักยภาพการแข่งขัน เพื่อเป้าหมายที่ไม่เพียงให้เศรษฐกิจไทยอยู่รอดเท่านั้น
แต่สามารถพัฒนาเป็น ศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคที่สำคัญในเศรษฐกิจโลกยุคใหม่
ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้” นายนรสิทธิ์
กล่าวสรุป