โดย นครินทร์ เทียนประทีป ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ยิบอินซอย จำกัด
การสำรองข้อมูลขององค์กรถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น เก็บข้อมูลเพื่อทำ Backup ตอบสนองกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในการตรวจสอบซึ่งต้องคงสภาพข้อมูลไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นต้น แต่รู้หรือไม่ว่าความต้องการเหล่านี้ได้สร้างความซ้ำซ้อนของข้อมูลมากมาย ทำให้เสียพื้นที่จัดเก็บอย่างมหาศาลแถมยังเพิ่มภาระในการบริหารจัดการอีกด้วย
ต้องยอมรับว่านโยบายการผลักดันระบบการทำงานขององค์กรสู่คลาวด์นั้นร้อนแรงขึ้นมาก จากเหตุการณ์โรคระบาด อย่างไรก็ดีในทางปฏิบัติหลายองค์กรพบว่าการย้ายข้อมูลขึ้นคลาวด์นั้นไม่ง่ายเลย อาจเพราะยังกังขาในเรื่องประสิทธิภาพว่าจะดีเท่าเดิมหรือไม่ หรือจำเป็นต้องมีการทดสอบอย่างเข้มข้น รวมถึงหากเกิดปัญหาขึ้นจริงจะแก้ไขอย่างไรให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด
ในบทความนี้เองเราขอพาทุกท่านเรียนรู้การผสมผสานความสามารถระหว่าง 2 บริษัทไอทียักษ์ใหญ่ เพื่อช่วยปกป้องข้อมูลของทุกท่านอย่างปลอดภัยด้วยค่าใช้จ่ายที่ลดลง โดยฝ่ายแรกเป็นผู้ให้บริการคลาวด์อันดับหนึ่งอย่าง AWS และ Veritas ผู้นำเสนอบริการ Data Protection ขอเชิญติดตามกันได้เลยครับ
AWS มอบทางเลือกอย่างยืดหยุ่นผ่านหลากหลาย Storage Tier
ทางเลือกในการสำรองข้อมูลมีอยู่ไม่กี่ทาง ในเทปคือรูปแบบหลักที่องค์กรใหญ่มักนำมาใช้งาน แต่ปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่บ้างแม้จะมีเทคโนโลยีทางเลือกอื่นก็ตาม ในอีกมุมหนึ่งการสำรองข้อมูลที่ดีตาม Best Practice กำหนดให้องค์กรต้องหาแหล่งเก็บข้อมูลนอกไซต์ด้วย โดยหากท่านเก็บเป็นดิสก์ก็จำเป็นต้องไปเช่าสถานที่อื่น หรือกรณีของเทปยิ่งต้องมีค่าใช้จ่ายในการขนส่งอีกต่อ แถมต้องขนกลับมาอีกครั้งเมื่อต้องการใช้งาน
ด้วยเหตุนี้เองคลาวด์จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง สามารถทำเป็น DR Site หรือนำข้อมูลไปเก็บไว้เฉยๆ ตอบโจทย์เรื่องข้อกำหนดในด้าน off-site backup อย่างไรก็ดีในอดีตค่าบริการของพื้นที่บนคลาวด์ค่อนข้างสูงหลายท่านจึงถอดใจ แต่ในปัจจุบันสเกลของการให้บริการคลาวด์มีขนาดใหญ่ขึ้นประกอบกับเทคโนโลยีในเรื่องดิสก์ที่ก้าวกระโดด ด้วยเหตุนี้เองผู้ให้บริการคลาวด์อย่าง AWS จึงสามารถให้ทางเลือกได้หลายหลากเหมาะสมตามวัตถุประสงค์ในการเก็บข้อมูล
จากภาพประกอบข้างต้น จะเห็นได้ว่าตอนนี้ AWS มีการนำเสนอ S3 Storage อย่างหลากหลาย ตามความจำเป็นในการเข้าถึงข้อมูล หากข้อมูลสำรองขององค์กรที่อยู่นอกไซต์เป็นข้อมูลที่ถูกเรียกใช้งานบ่อยก็สามารถเลือกใช้ S3 Standard ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทันที แต่หากข้อมูลเป็นแบบไม่ได้ถูกเรียกใช้บ่อยๆ หรือเข้าถึงข้อมูลได้ทันที รวมถึงข้อมูลบางอย่างถูกเก็บไว้แค่ให้ครบกำหนดแต่ยาวนานหลายปี ดังนั้นท่านอาจจะเลือกเป็น S3 Glacier หรือ S3 Glacier Deep Archive ซึ่งมีราคาถูกกว่าได ด้วยโครงสร้างของ S3 Standard และ S3 Glacier ที่มี object across หลาย availability zone ทำให้ความคงทนของข้อมูล (Durability) สูงถึง 99.999999999% (11 9’s) ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าโอกาสของข้อมูลที่เก็บไว้ใน S3 จะสูญหายเกิดขึ้นได้ยากมากๆ เทียบกับการที่เก็บข้อมูลเดียวกัน 2 ชุดเก็บไว้ใน Datacenter เดียวกันซึ่งโดยปกติจะมีความคงทนของข้อมูลเพียง 99.99% (4 9’s) เท่านั้น
อีกกรณีหนึ่งหากท่านต้องการมองหาระบบ DR Site ที่เริ่มต้นได้รวดเร็ว AWS ก็เป็นอีกทางเลือกที่ท่านจะสามารถ Deploy ระบบขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว และในเมื่อมีข้อมูลเก็บไว้บนคลาวด์อยู่แล้ว การทำเช่นนี้จะยิ่งสะดวกมากขึ้น นอกจากนี้ AWS ยังสามารถตอบโจทย์เรื่อง Off-site Backup ให้แก่องค์กรที่มี On-premise เป็นของตัวเองแล้ว แม้กระทั่งผู้ใช้งาน AWS แบบ 100% ก็สามารถย้ายข้อมูลข้ามไปเก็บใน Availability Zone หรือRegion อื่นได้เพื่อตอบโจทย์ Off-site Backup
ลดปริมาณข้อมูลอีกขั้นด้วย Veritas NetBackup
Veritas NetBackup นั้นเป็นผู้นำในเทคโนโลยี Data Protection ที่มีความสามารถเด่นในด้านการทำ Data Deduplication ที่จะช่วยให้สามารถลดขนาดข้อมูลที่ถูกจัดเก็บ โดยการกำจัดข้อมูลที่ซ้ำซ้อน เช่น ข้อมูลสำเนาที่ DR, Backup และ Audit ทำให้ปริมาณของข้อมูลในองค์กรสามารถลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสามารถเลือกรูปแบบการทำ Deduplication ได้ 2 รูปแบบคือ Media Server Deduplication และ Source Client Deduplication ทำให้มีความยืดหยุ่นในการเลือกใช้งานตามความเหมาะสม จากภาพประกอบในกรณีของ On-premise ตัว NetBackup ทำการ backup แล้วจะส่งข้อมูลที่ถูก Backup และ Deduplicate ส่งไปเก็บบน AWS S3, Glacier, หรือ Deep Archive ทำให้สามารถลดพื้นที่ในการใช้งานบน AWS Storage รวมถึงใช้ลดปริมาณการใช้งาน Network อีกด้วย
สำหรับการทำงานของ Veritas NetBackup บน AWS ท่านสามารถดาวน์โหลดซอฟต์แวร์จาก AWS Marketplace ได้ง่ายๆ โดยตัว NetBackup สามารถรองรับการทำงานกับ S3 ใน tier ต่างๆได้ โดยสามารถตั้ง Policy เพื่อกำหนดแนวทางการสำรองข้อมูลให้เกิดขึ้นได้อย่างอัตโนมัติ เริ่มต้นได้ง่ายๆเพียงไม่กี่คลิกเท่านั้น ก็สามารถคอนฟิกค่าต่างๆ ได้เสร็จสรรพภายในตัวเอง
อีกหนึ่งปัญหาที่แอดมินให้ความสนใจเสมอเมื่อต้องย้ายข้อมูลสู่คลาวด์ก็คือ จะมั่นใจได้อย่างไรว่าระบบสามารถทำงานบน Cloud ได้ และหากจำเป็นต้อง Migrate กลับจะทำได้อย่างไรโดย Veritas จะมีเครื่องมือที่ช่วยให้สามารถ migrate พร้อมทั้งเครื่องมือทดสอบการทำงานบน cloud ให้มั่นใจโดยไม่จำเป็นต้องหยุดการทำงานของ production และหากเกิดปัญหาขึ้นทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ต่อ ก็สามารถนำข้อมูลเหล่านี้กลับมา On-prem ด้วยไม่กี่คลิก
อย่างไรก็ดีหากองค์กรใดต้องการทำงานบน AWS แบบหนักหน่วง และเป็นระบบงานที่มีความ Critical สูง เช่น การรันธุรกิจเต็มตัวในหลาย Region บอกได้เลยว่า Veritas ก็มีทางออกให้ท่านด้วยโซลูชัน InfoScale เครื่องมือเดียวที่ผสานการทำงานใน Region ต่างๆ ให้สามารถทำงานได้พร้อมๆกัน และยังเพิ่มความทนทานให้กับระบบงานด้วย Application High Availability Solution
เหตุใดท่านจึงควรหันมามองโซลูชันการเก็บรักษาข้อมูลบนระบบคลาวด์
จากข้อมูลข้างต้นท่านคงทราบดีแล้วเหตุใดการผนึกกำลังของ Veritas NetBackup และ AWS จึงเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมให้แก่องค์กร แต่หากจะให้เห็นภาพชัดเจนกว่านั้นขอหยิบยกสถานการณ์เทียบกับเทคโนโลยีเทปที่หลายองค์กรยังไม่ก้าวออกมา
สมมติให้ต้นทุนเทปประเภท LTO-8 มีค่าเฉลี่ยต่อ TB อยู่ที่ 3.33 เหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่ Glacier Deep Archive อยู่ที่ 0.99 เหรียญสหรัฐฯต่อเดือน หากองค์กรของท่านต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลขนาด 100 TB บนเทปจะมีต้นทุนอยู่ที่ 333 เหรียญสหรัฐฯ แต่เมื่อ Veritas NetBackup เข้ามาซึ่งมีอัตราการ Deplication ประมาณ 90% ทำให้ข้อมูลที่ถูกเก็บลงบน S3 Deep Archive ลดลงเหลือเพียง 10 TB
ค่าใช้จ่ายของท่านก็จะมีราคาเหลือเพียง 9.90 เหรียญสหรัฐฯต่อเดือนเท่านั้น (กรณีนี้ไม่นับบริการอื่นๆเช่น คนขนส่ง หรืออัตราถ่ายโอนข้อมูลบน AWS) ทั้งหมดนี้เชื่อว่าก็พอจะเป็นแนวทางการคำนวณค่าใช้จ่ายให้แก่ท่านได้ (อย่าลืมนับรวมความวุ่นวายในการนำข้อมูลกลับแบบ Manual ในระบบเทปด้วยนะครับ)