15 ส.ค. 2565 871 58

ผู้นำทางธุรกิจเกือบ 9 ใน 10 คนประสานเสียงชัด หากยังต้องการประสบความสำเร็จต่อไปในอนาคต ต้องไม่ตกขบวนเมตาเวิร์สและ Web 3.0

ผู้นำทางธุรกิจเกือบ 9 ใน 10 คนประสานเสียงชัด  หากยังต้องการประสบความสำเร็จต่อไปในอนาคต ต้องไม่ตกขบวนเมตาเวิร์สและ Web 3.0

ผู้นำในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ การตลาด และธุรกิจไอที 85% ระบุว่าในช่วงเวลาอีก ปีข้างหน้านี้ เทคโนโลยีล้ำยุคอย่างเช่น เมตาเวิร์ส (85%) และ Web 3.0 (87%) จะมีความจำเป็นต่อธุรกิจของพวกเขา เพื่อช่วยปลดล็อคกระแสรายได้ใหม่ๆ และเป็นหลักประกันว่าในอนาคตบริษัทของพวกเขาจะไม่ตกยุค

AI ขึ้นนำเป็นอันดับหนึ่ง โดยผู้นำกว่า ใน 10 คน (91%) มองว่าเทคโนโลยีนี้จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของบริษัท นอกจากนี้ AI ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นเทคโนโลยีที่บริษัทต่างๆ จะทำงานด้วยได้อย่างสบายใจมากที่สุด โดยบริษัทในประเทศจีน 71% มั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถทำงานกับเทคโนโลยีนี้ได้ เทียบกับในสหรัฐฯซึ่งมีบริษัท 67% และในสหราชอาณาจักรที่มีเพียง 11% ที่รู้สึกเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำทางธุรกิจในประเทศจีน 67% ยังได้เริ่มทำงานกับ AI แล้ว และมี 44% ที่ใช้เมตาเวิร์สแล้ว ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมากเมื่อเทียบกับบริษัทในสหรัฐฯและสหราชอาณาจักร

งานวิจัยชื่อ The Disruptive Technologies ที่ดำเนินการศึกษาโดย วันเดอร์แมน ธอมสัน คอมเมิร์ซ แอนด์ เทคโนโลยี (Wunderman Thompson Commerce & Technology) ได้สำรวจความคิดเห็นของผู้นำทางด้านไอที อีคอมเมิร์ซ และการตลาดในสหราชอาณาจักร สหรัฐฯ และจีน และพบว่าในจำนวนเทคโนโลยี ด้านที่กำลังก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ (Disruptive Technology) ได้แก่ AI, Web 3.0, เมตาเวิร์สบล็อกเชนเทคโนโลยีการระบุตัวตนแบบกระจายศูนย์ (Decentralised Identity Technology) และเทคโนโลยีความจริงขยาย (Extended Reality – XR) ผู้ตอบแบบสอบถาม 92% ได้เริ่มนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้แล้วหรือกำลังดำเนินการเพื่อเริ่มนำมาใช้อย่างน้อย ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Web 3.0 (70%) และ เมตาเวิร์ส (65%) ยังคงเป็นเทคโนโลยีที่ผู้นำธุรกิจยกให้เป็นสิ่งที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อไป

สำหรับในประเทศจีน การวิจัยครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นว่าผู้นำธุรกิจเชื่อว่าเทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้นเหล่านี้จะช่วยสร้างกระแสรายได้ใหม่ๆ โดยผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ตัดสินใจด้านไอทีในจีน 40% มองว่าเทคโนโลยี XR คือประตูสู่โอกาสในการเจาะตลาดใหม่ๆ และ 37% กล่าวว่า Web 3.0 จะมีบทบาทแบบเดียวกัน นอกจากนี้ ธุรกิจในประเทศจีน 31% เชื่อว่าเมตาเวิร์สจะช่วยให้พวกเขาสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้ (เทียบกับ 19% ในสหราชอาณาจักร และ 24% ในสหรัฐฯ)


เทวินทร์ ทัศนเจริญ กรรมการผู้จัดการ มายรัม ประเทศไทย ดิจิทัลเทคฯ เอเยนซีของ วันเดอร์แมน ธอมสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “ในปัจจุบัน เทคโนโลยี 6 ด้านที่กำลังก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เช่น AI และ XR ได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้จริงแล้วอย่างแพร่หลายในธุรกิจต่างๆ และนำไปสู่การยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงาน ตลอดจนเพิ่มรายได้มากขึ้นจากโมเดลธุรกิจใหม่ๆ และแม้ว่า      บางเทคโนโลยี เช่น  บล็อกเชน เมตาเวิร์ส และ Web 3.0 จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นสำหรับนำไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจ แต่ก็เชื่อว่า   จะเป็นเทคโนโลยีสำหรับสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อไป ดังนั้น เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ได้จริง บริษัท และแบรนด์ต่างๆ จะต้องเข้าใจถึงความสามารถของเทคโนโลยีแต่ละอย่าง เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ และเป้าหมายทางธุรกิจอย่างเหมาะสม โดยการดำเนินการสามารถเริ่มต้นเป็นโครงการนำร่อง เพื่อช่วยให้เกิดการเรียนรู้และแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว  จากนั้น ศึกษาผลลัพธ์ รวบรวมข้อเสนอแนะจากลูกค้า เพื่อปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น และสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างแท้จริงในการดำเนินธุรกิจขนาดใหญ่หรือเต็มรูปแบบ”

แต่การนำ Disruptive Technology เหล่านี้มาใช้ก็ยังพบอุปสรรคอยู่บ้าง เช่น ในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล อย่างไรก็ตาม ประเทศจีนดูจะเผชิญปัญหาในเรื่องนี้น้อยที่สุด โดยธุรกิจในจีน 52% ระบุว่าลูกค้าไม่มีความกังวลแต่อย่างใดว่าข้อมูล          ของพวกเขาจะถูกนำไปใช้อย่างไร ต่างจากในสหรัฐฯที่ 72% ระบุว่าลูกค้ายังกังวล

ภาพรวมในจีน
สภาวการณ์ปัจจุบันในด้านการนำเทคโนโลยีแห่งยุคหน้ามาใช้
-  ผู้ตอบแบบสอบถามจากประเทศจีนเพียง 4% เท่านั้นที่เห็นว่าเมตาเวิร์สไม่ใช่เรื่องจำเป็น และ 6% รู้สึกแบบเดียวกันกับ XR และ Web 3.0 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าอย่างมากเมื่อเทียบกับในสหราชอาณาจักรที่ผู้ตอบแบบสอบถาม 25% บอกว่าเมตาเวิร์สและ XR “ไม่มีความจำเป็น” ต่อพวกเขา
-  ผู้ตอบแบบสอบถาม 70% เชื่อว่า Web 3.0 คือการปฏิวัติเทคโนโลยีเว็บครั้งใหม่ ซึ่งหากพิจารณาเฉพาะผลสำรวจ    ในประเทศจีน ผู้ที่ตอบเช่นนี้มีสูงถึง 89%

ธุรกิจพร้อมที่จะนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้แล้วหรือยัง?
-   ผู้ตอบแบบสอบถามจากประเทศจีน 71% มั่นใจว่าพวกเขาสามารถทำงานกับ AI ได้ เทียบกับในสหรัฐฯซึ่งมี 67% และสหราชอาณาจักรที่มีเพียง 11%
-   ธุรกิจในประเทศจีนทำงานกับ AI และเมตาเวิร์สอยู่แล้ว คิดเป็นสัดส่วน 67% และ 44% ตามลำดับ

ปัจจัยขับเคลื่อนการนำเทคโนโลยีแห่งยุคหน้ามาใช้
-   เมื่อถามว่าบล็อกเชนก่อให้เกิดประโยชน์แก่ธุรกิจของพวกเขาในด้านต้นทุนหรือไม่ ผลสำรวจพบว่าจีน (25%) อยู่ตรงกลางระหว่างสหรัฐและสหราชอาณาจักร
-   การสำรวจพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามในจีนมีสัดส่วนสูงที่สุดที่มองว่า AI มีศักยภาพในการช่วยลดต้นทุน (33%) และเป็นวิธีการหนึ่งที่จะสร้างหลักประกันว่าในอนาคตธุรกิจของพวกเขาจะไม่ตกยุค (27%)

เทคโนโลยีใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นจะช่วยสร้างกระแสรายได้ใหม่
-   ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ตัดสินใจด้านไอทีในจีน 40% มองว่าเทคโนโลยี XR คือประตูสู่โอกาสในการเจาะตลาดใหม่ๆ และ 37% กล่าวว่า Web 3.0 จะมีบทบาทแบบเดียวกัน
-   ธุรกิจในประเทศจีน 31% เชื่อว่าเมตาเวิร์สจะช่วยให้พวกเขาสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้ (เทียบกับ 19% ในสหราชอาณาจักร และ 24% ในสหรัฐฯ)

อุปสรรคในการนำเทคโนโลยีมาใช้
-   ธุรกิจจีนมีแนวโน้มสูงกว่ามากที่จะประสบกับความสั่นสะเทือนอยู่บ้างเมื่อเริ่มนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ ซึ่งนับว่าเป็นอุปสรรค ซึ่งบริษัทจีนโดยเฉลี่ย 34% เห็นว่าการต้องคอยพึ่งพากันในทุกส่วนของธุรกิจจะเป็นอุปสรรคต่อการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ (เทียบกับบริษัทในสหราชอาณาจักรที่อยู่ในระดับ 14%)
-    บริษัทในจีนเห็นว่า “ความสอดคล้องกันในด้านกลยุทธ์ดิจิทัล” เป็นเรื่องเล็กกว่ากันมาก โดยมีเพียง 7% ที่ระบุว่าแง่มุมนี้อาจเป็นอุปสรรค

ปัจจัยอื่นๆ
-   ธุรกิจ 94% (ในจีน สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร) กล่าวว่าผลกระทบจากด้านสภาพแวดล้อมของเทคโนโลยีใหม่มีความสำคัญต่อพวกเขา
-    ความปลอดภัยของข้อมูลเป็นอีกปัจจัยอีกที่มีความสำคัญต่อธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจพบว่าความเห็นมีความแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละประเทศ โดยธุรกิจในจีน 52% ระบุว่าลูกค้าไม่กังวลแต่อย่างใดว่าข้อมูลของพวกเขา  จะถูกนำไปใช้อย่างไร ต่างจากในสหรัฐฯที่ 72% ระบุว่าลูกค้ากังวล

นิค แฮร์รี่ หัวหน้าแผนกเทคโนโลยีของวันเดอร์แมน ธอมสัน คอมเมิร์ซ (Nick Harry, Head of Technology, Wunderman Thompson Commerce) กล่าวว่า “เทคโนโลยีช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างโซลูชั่น บริการ หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและมักจะเป็นความคาดหวังที่สูงอีกด้วย ขณะนี้พวกเราต่างคาดหวังว่าจะได้เห็นสิ่งที่น่าทึ่งจากเทคโนโลยีล่าสุดและไอเดียใหม่ๆ แต่ก็พร้อมที่จะปลดระวางโซลูชั่นที่ยุ่งยากสับสน เชื่องช้า หรือไม่น่าเชื่อถือออกไปอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน นั่นคือสาเหตุที่เมตาเวิร์สยังคงอยู่ในระยะตั้งไข่ เพราะเป็นเรื่องยาก    ที่จะเห็นภาพได้ว่าโลกของการทำงาน ความบันเทิง หรือแม้แต่การช้อปปิ้งจะเป็นอย่างไรในสภาพแวดล้อมที่โลกเสมือนจริง   กับโลกทางกายภาพถูกหลอมรวมไว้ด้วยกัน”

“ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจใด การก้าวทะยานไปข้างหน้ายังคงเต็มไปด้วยความท้าทายและขาดความเข้าใจ สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือการมีพันธมิตรทางด้านเทคโนโลยีที่เหมาะสม การลงทุนเพื่อสร้างทักษะที่เหมาะสม และการใช้เวลาเพื่อทำความเข้าใจว่านวัตกรรมสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นและมีความสำคัญบนเส้นทางลูกค้า บริษัทต่างๆ จะต้องหาจุดลงตัวและลงทุน ในเทคโนโลยีที่เหมาะสม ซึ่งจะเป็นหลักประกันว่าธุรกิจของพวกเขาจะไม่ตกยุคในอนาคตและสามารถรักษาฐานลูกค้าไว้ได้ต่อไปอีกนาน”