การเก็บรักษาข้อมูลภายใต้ระบบความปลอดภัยสูงสุด ถือเป็นประเด็นหลักที่หลายองค์กรทั่วโลกต้องคำนึงถึง เนื่องจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ อาจสร้างความเสียหายทางธุรกิจได้ในพริบตา การเลือกใช้โซลูชันทางไอทีที่มีประสิทธิภาพสูงและระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลที่ดี นอกจากจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กรแล้ว ยังช่วยให้มั่นใจได้ว่าธุรกิจจะดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดชะงัก แม้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอย่างเช่น สถานการณ์โรคระบาด
บริษัท Synology Inc จำกัด ผู้ให้บริการด้านการจัดการและปกป้องข้อมูลชั้นนำระดับโลก เล็งเห็นถึงความสำคัญเหล่านี้ และต้องการช่วยให้ธุรกิจทุกประเภทสามารถบริหารและจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณโจแอน แวง (Joanne Weng) Sales Directorกล่าวว่า “เพราะความปลอดภัยด้านข้อมูลของลูกค้า คือสิ่งสำคัญสำหรับเรา เราจึงนำเสนอโซลูชันใหม่ ๆ ภายใต้หลักการของการพัฒนาที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านการจัดการข้อมูล ที่มุ่งเน้นการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายใต้ต้นทุนที่คุ้มค่า ซึ่งที่ผ่านมา การดำเนินธุรกิจในปี 2564 บริษัทเรา มีรายได้รวมทั่วโลกกว่า 600 ล้านเหรียญสหรัฐหรือกว่า 21,633,240,000 บาท และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีประมาณ 20-30% เราเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในตลาด NAS ทั่วโลก และตั้งเป้ายอดเติบโตประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 36,055,400,000 บาท ให้ได้ภายในปี 2568 โดยโซลูชันใหม่ที่เปิดตัวในช่วงนี้ เรามุ่งเน้นให้ทุกธุรกิจ ก้าวข้ามผ่านความท้าทายในช่วง Digital Transformation โดยมุ่งเน้นไปที่เรื่อง Hybrid Solution ที่ช่วยให้ธุรกิจปรับตัว เพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลงของข้อมูลทั้งในแง่ปริมาณที่เพิ่มขึ้น การรักษาความปลอดภัยและการเข้าถึงข้อมูลจากหลายจุดตามการเติบโตขององค์กร โดยการผนวกโซลูชันทั้งแบบ On-Premise และ Public Cloud ที่พัฒนาโดย Synology เองทั้งหมด ทำให้เราควบคุมต้นทุนและกำหนดโซลูชันเองได้ เพื่อความยืดหยุ่นของผู้ใช้งาน”
โจแอน เล่าให้ฟังถึงโซลูชันด้านการจัดเก็บข้อมูลใหม่ของ Synology ที่จะเปิดตัวในปีหน้าว่า “ในปี 2566 นี้ เราจะเปิดตัว Synology Scale Out ที่เน้นความสามารถในการขยายความจุมากกว่า 12PB โดยเพิ่มคลัสเตอร์ได้ และออกแบบขึ้นมา โดยคำนึงถึงความยืดหยุ่นที่เน้นการทำงานแบบไม่มีจุดล้มเหลวแม้เพียงจุดเดียวหรือไม่มีเหตุการณ์ใดที่ทำให้การทำงานหยุดชะงักได้เลย ซึ่งเรากล้ารับรองว่าคุณภาพคุ้มราคาแน่นอน ด้วยความที่ส่วนแบ่งการตลาด(Market Share) ในกลุ่ม NAS มีค่อนข้างเยอะ แต่ละแบรนด์ ก็มีความแตกต่างกันไป การพัฒาผลิตภัณฑ์ของเรา จึงมุ่งไปที่การตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานด้านการจัดการข้อมูลเป็นหลัก ถือเป็นกลยุทธ์หลักที่เราให้ความสำคัญ ควบคู่ไปกับการพัฒนาทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์อย่างไม่หยุดนิ่ง เราจึงมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ตั้งแต่ผู้ใช้งานตั้งแต่การใช้งานภายในบ้าน ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ ด้วยการมอบโซลูชันที่บูรณาการฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เข้าด้วยกันอย่างลงตัว
และเราเป็น One Stop Solution และ One Stop Service ให้กับผู้ใช้งานด้วย อย่างในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเป็นช่วงเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานขององค์กรต่างๆ อย่างมาก Synology เข้าไปมีส่วนซับพอร์ตในหลายธุรกิจ ให้ก้าวข้ามความท้าทายต่าง ๆ ได้ เช่น Synology Drive ทำให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น แม้ต้องทำงานที่บ้าน, Active Backup for Business ช่วยสำรองข้อมูลจากหลาย ๆ แพลตฟอร์มกลับมาที่ NAS ได้ในคอนโซลเดียว เป็นต้น อีกจุดหนึ่งที่ทำให้เราแตกต่าง คือ ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เลือกได้ตามความต้องการใช้งานและต้นทุนที่กำหนด ลดภาระค่าใช้จ่าย ด้านซอฟต์แวร์ เพราะซอฟแวร์ของเราใช้งานฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายสิทธิ์การใช้งานเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า โควิด-19 จะมีสัญญาณที่ดีขึ้น แต่เรามองว่า Digital Transformation ก็ยังคงเป็นสิ่งที่องค์กรให้ความสำคัญและต้องเร่งพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกองค์กรยังต้องคำนึงถึงคือการคุมค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบ ซึ่งโซลูชันของเราสามารถตอบโจทย์ความต้องการตรงจุดนี้ให้กับธุรกิจ”
ด้าน ธัชวรรณ ชินชนากานต์ Regional Sales Manager (ASEAN) ได้เผยถึงกลยุทธ์การทำธุรกิจในส่วนของประเทศไทยในปี 2566 ว่า “สำหรับแผนการตลาดในประเทศนั้น ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMB) ยังคงเป็นตลาดหลักของเรา แต่ที่ผ่านมาเราก็เห็นการเติบโตที่แข็งแกร่งในตลาดกลุ่มเอ็นเตอร์ไพรส์มากขึ้นด้วย นอกจากนี้ ในกลุ่มผู้ใช้งานตามบ้าน เราเห็นถึงความต้องการในการทดแทน External HDD ด้วย NAS และความต้องการสำรองรูปภาพ ซึ่งเป็นทิศทางที่ Synology ต้องการจะโฟกัสไปในปี 2566 ซึ่งต้องบอกเลยว่า ปัจจุบันข้อมูลมีค่ามากกว่าทอง การจัดการข้อมูลจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตและเมื่อธุรกิจเติบโตข้อมูลก็จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ การรับมือกับข้อมูลที่เพิ่มขึ้นนี่เอง ที่ทำให้องค์กรต่าง ๆ ต้องหันมาสนใจเรื่องการจัดการข้อมูลให้มีประสิทธิภาพ และแทบทุกอุตสาหกรรมต่างมองหาวิธีจัดการข้อมูลที่คุ้มค่าการลงทุน สำหรับในประเทศไทยเอง Synology มีบริการที่ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าในหลายอุตสาหกรรมแล้ว ตั้งแต่หน่วยงานรัฐบาล โรงงานผลิต สถานศึกษา สถานพยาบาล เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมาในปี 2565 ในด้านกิจกรรมทางการตลาด ปี 2565ที่ผ่านมา เรามุ่งเน้นทำการตลาดแบบออนไลน์ เนื่องจากสถานการณ์แวดล้อมต่าง ๆ เช่นการทำ Webinar เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์และโซลูชันใหม่ในทุก ๆ ไตรมาส สำหรับกิจกรรมทางการตลาดในประเทศไทย ปี 2566 นี้ เราวางแผนที่จะกลับมารุกกิจกรรมแบบอออฟไลน์เพิ่มมากขึ้น เช่น การออกงานอีเวนต์ จัดกิจกรรมหรืองานสัมมนาต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งเราเตรียม ทุ่มงบประมาณด้านการตลาดในส่วนนี้อย่างเต็มที่ เพื่อขับเคลื่อนทุกโซลูชันของ Synology ให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ธัชวรรณ กล่าวทิ้งท้าย