โดย เติมศักดิ์ วีรขจรพงษ์ รองประธานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอาท์ซิสเต็มส์
ภายใต้แรงกดดันของการนำเสนอประสบการณ์ดิจิทัลใหม่ ๆ ให้แก่ลูกค้าและพนักงาน ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนระบบภายในองค์กรธุรกิจที่มีอยู่สำหรับรับมือกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนไป ฟอร์เรสเตอร์ รีเสิร์ช (Forrester Research) ประเมินว่าภายในสิ้นปี 2564 องค์กรธุรกิจ 75% จะหันมาใช้แพลตฟอร์ม Low-Code ในการพัฒนาแอปพลิเคชัน
ประโยชน์ของแพลตฟอร์ม Low-Code มีมากมาย เช่น ช่วยให้นักพัฒนาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มความคล่องตัวให้องค์กรและเพิ่มความรวดเร็วในการเปิดให้บริการแอปพลิเคชัน ขณะที่การสร้างซอฟต์แวร์ด้วยวิธีการพัฒนาแบบเดิมจะต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายสูง อย่างไรก็ดี คำถามที่น่าสนใจก็คือ แพลตฟอร์ม Low-Code ให้ผลตอบแทนการลงทุน (Return on Investment - ROI) แก่ธุรกิจมากน้อยเพียงใด
กรอบโครงสร้าง ROI ของแพลตฟอร์ม Low-Code
รายงานการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยรวมของเอาท์ซิสเต็มส์ (OutSystems’ Total Economic Impact (TEI) Study) ฉบับนี้เป็นข้อมูลวิเคราะห์จากฟอร์เรสเตอร์ คอนซัลติ้ง (Forrester Consulting) ที่ประเมินผลกระทบด้านการเงินจากการปรับใช้เทคโนโลยี โดยพิจารณาต้นทุน ค่าใช้จ่าย ประโยชน์ที่ได้รับ ความยืดหยุ่น และปัจจัยความเสี่ยงที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุน
รายงานดังกล่าวอ้างอิงการสัมภาษณ์ของฟอร์เรสเตอร์กับองค์กรธุรกิจที่ใช้แพลตฟอร์ม Low-Code ของเอาท์ซิสเต็มส์ และเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่องค์กรได้รับช่วงระยะเวลา 3 ปีกับองค์กรต้นแบบ โดยพิจารณาจากโครงสร้างและลักษณะรูปแบบขององค์กรที่ถูกสัมภาษณ์
1. ประหยัดค่าใช้จ่ายการพัฒนาแอปพลิเคชัน 24% สูงสุดถึง 4.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ขณะที่องค์กรธุรกิจทั่วโลกต่างประสบปัญหาขาดแคลนนักพัฒนา แต่องค์กรที่ใช้แพลตฟอร์ม Low-Code กลับสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทีมงานฝ่ายพัฒนาและปรับปรุงการทำงานร่วมกันระหว่างทีมงานฝ่ายธุรกิจและฝ่ายพัฒนา เพื่อให้สามารถนำเสนอแอปพลิเคชันได้รวดเร็วขึ้น เทียบเท่ากับองค์กรแบบดิจิทัลเนทีฟ (Digital Natives Organization)
การใช้แนวทางพัฒนานี้ สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในกระบวนการพัฒนาแอปพลิเคชันโดยคิดเป็นสัดส่วนที่ 24% ของผลประโยชน์โดยรวมที่องค์กรจะได้รับ หรือสูงสุด 4.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามที่ระบุไว้ในรายงาน TEI
คุณสมบัติหลักของแพลตฟอร์ม Low-Code ประสิทธิภาพสูง ที่เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการทำงานแก่นักพัฒนา มีดังนี้:
2. ประหยัดค่าใช้จ่าย 7% หรือสูงสุด 1.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการปรับปรุงและการซัพพอร์ตแอปพลิเคชันอย่างต่อเนื่อง
แอปพลิเคชันที่พัฒนาด้วยแพลตฟอร์ม Low-Code มีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาและการปรับเปลี่ยนน้อยกว่า จากผลการศึกษายังชี้ว่าการประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะมีการสะสมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องปีต่อปี และโดยปกติแล้วอยู่ในสัดส่วนที่สูงกว่า 7% ของประโยชน์โดยรวมที่ลูกค้าได้รับ และอาจสูงถึง 1.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ฟีเจอร์พื้นฐานของแพลตฟอร์ม Low-Code ประสิทธิภาพสูงที่ช่วยให้ธุรกิจได้รับผลประโยชน์ดังกล่าวตรงกับที่ระบุไว้ในข้อก่อนหน้า ซึ่งได้แก่:
3. รายได้เพิ่มขึ้น 4.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการนำเสนอโครงการธุรกิจใหม่ได้รวดเร็วขึ้น (ประมาณ 26% ของผลประโยชน์โดยรวม)
ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของนักพัฒนา ธุรกิจที่ใช้แพลตฟอร์ม Low-Code สามารถเปิดตัวโครงการธุรกิจใหม่ ๆ ที่สำคัญได้รวดเร็วมากขึ้น เช่น ระบบที่รองรับการติดต่อกับลูกค้า
นอกจากนี้ องค์กรยังได้รับผลประโยชน์ด้านการเงินเร็วขึ้น เมื่อเทียบกับการใช้วิธีการพัฒนาโปรแกรมแบบเดิม ๆ
4. ประหยัดค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 38% หรือสูงสุด 6.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้วยเทคโนโลยีของเอาท์ซิสเต็มส์ องค์กรธุรกิจจะสามารถลดระยะเวลาในการดำเนินโครงการพัฒนา และเปิดตัวโครงการริเริ่มภายในองค์กรได้ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงความคล่องตัวและประสิทธิภาพผลลัพธ์ทางธุรกิจของบริษัทได้รวดเร็วมากขึ้น
โครงการริเริ่มที่ว่านี้หมายรวมถึงการพัฒนาเครื่องมือที่จะเข้ามาแทนที่กิจกรรมที่ต้องทำด้วยตนเองและสิ้นเปลืองเวลา ซึ่งช่วยให้องค์กรประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากถึง 6.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
5. ประหยัดค่าใช้จ่าย 765,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยการยกเลิกการใช้แอปพลิเคชันรุ่นเก่า
นอกจากนี้ องค์กรยังสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายหลายแสนดอลลาร์สหรัฐฯ จากการจ่ายค่าธรรมเนียมให้แก่ผู้ผลิตซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่อง ด้วยการใช้แพลตฟอร์ม Low-Code สร้างแอปพลิเคชันใหม่ทดแทนระบบรุ่นเก่า
ประโยชน์เพิ่มเติมที่ไม่สามารถวัดเป็นมูลค่าได้: ได้แก่ ความปลอดภัย คุณภาพ การยกระดับทักษะ และระบบโมบายล์
นอกเหนือจากผลประโยชน์ที่สามารถวัดผลได้อย่างชัดเจนแล้ว บริษัทที่ปรับใช้แพลตฟอร์ม Low-Code ประสิทธิภาพสูงยังได้รับประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ตามที่ระบุไว้ในรายงาน TEI ได้แก่