บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค รายงานผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการ ด้วยแรงหนุนที่ลูกค้าได้รับประสบการณ์ใช้งานเครือข่ายที่ครอบคลุมการใช้งานดีขึ้น และด้วยมาตรการต่างๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีวินัย บริษัทยังคงมี EBITDA margin ที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความท้าทายที่เพิ่มขึ้นของเศรษฐกิจระดับมหภาค
ชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีแทค กล่าวว่า “ปี 2565 เป็นปีที่ผลการดำเนินงานของดีแทคเริ่มมีการฟื้นตัว แม้ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอก ซึ่งรวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างช้า ๆ หลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ความท้าทายของเศรษฐกิจระดับมหภาค แรงกดดันจากเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และการแข่งขันที่ยังคงเข้มข้นต่อเนื่อง แต่ถึงแม้จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่างๆ เหล่านี้ ดีแทคยังคงยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ในปี 2565”
เพื่อมอบสัญญาณเครือข่ายที่เชื่อถือได้และให้ประสบการณ์ที่ดีขึ้นแก่ลูกค้าในปีนี้ ดีแทคยังคงเดินหน้าขยายสถานีฐานของคลื่นย่านความถี่ต่ำเป็นจำนวนกว่า 6,300 สถานีฐานในปีนี้ ส่งผลให้ครอบคลุมพื้นที่การใช้งานภายในอาคารได้ดีขึ้น การใช้งานเร็วขึ้น และการเชื่อมต่อที่ดีขึ้น ในปี 2565 ดีแทค มีคะแนนความพึงพอใจสุทธิ (NPS) ที่ดีขึ้นจากปีก่อน และสามารถลดการร้องเรียนที่เกี่ยวกับเครือข่าย และด้วยประสบการณ์การใช้งานของเครือข่ายที่ดีขึ้น ปริมาณการใช้งานทั้ง 4G และ 5G ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ 4/65 ดีแทคมีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น 106,000 ราย มีผู้ใช้บริการรวมอยู่ที่ 21.2 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 จากไตรมาสก่อน
นกุล เซห์กัล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการเงิน ดีแทค กล่าวว่า “กลยุทธ์ของดีแทคในการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางยังคงดำเนินต่อไป เพื่อมอบคุณค่าให้กับกลุ่มลูกค้ารายบุคคล (B2C) และกลุ่มลูกค้าธุรกิจ (B2B)และด้วยการเติบโตของจำนวนผู้ใช้บริการดิจิทัลและการมีปฏิสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้นกับลูกค้า รายได้จากบริการที่นอกเหนือจากการเชื่อมต่อ (dtac beyond) เติบโตร้อยละ 18 จากปีก่อน นอกจากนี้ ด้วยการที่ดีแทคเป็นแบรนด์ที่เป็นที่ต้องการของกลุ่มนักท่องเที่ยวและแรงงานต่างด้าว ดีแทคสามารถเพิ่มการเติบโตของรายได้จากการให้บริการระบบเติมเงินได้อย่างแข็งแกร่งติดต่อกันเป็นจำนวน 5 ไตรมาส ตลอดจนสามารถสร้างการเติบโตของรายได้ B2B อย่างต่อเนื่อง คิดเป็นการเติบโตร้อยละ 13 จากปีก่อนจากการขายโซลูชั่นที่ตอบโจทย์มากขึ้นให้กับลูกค้า SME รวมไปถึงองค์กรขนาดใหญ่ ผ่านการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลและการสร้างพันธมิตร
การขับเคลื่อนประสิทธิภาพในเชิงโครงสร้างเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ช่วยสร้างมูลค่าในการดำเนินงานตลอดจนสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยนอกจากมาตรการในการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแล้ว เรายังมีความมุ่งมั่นในการประหยัดกระแสเงินสดจากค่าใช้จ่ายที่อยู่ใต้ EBITDA ในปี 2562 – 2565 ที่ผ่านมา ช่วยให้ดีแทคสามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลงได้ คิดเป็นอัตราเฉลี่ยประมาณร้อยละ 8 ต่อปี ในช่วงปี 2562 – 2565 ที่ผ่านมา โดยไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการในปี 2565 พร้อมกับการประหยัดกระแสเงินสด
EBITDA สำหรับไตรมาส 4/2565 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน และไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการมุ่งเน้นกลยุทธ์ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีวินัย ท่ามกลางการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อและผลกระทบเชิงลบจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการ กำไรสุทธิดีขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลกระทบเชิงบวกประมาณ 450 ล้านบาท จากค่าเสื่อมราคาที่ลดลงจากการเปลี่ยนแปลงอายุการใช้งานของสินทรัพย์เป็นหลัก กำไรสุทธิของไตรมาส 4/64 ได้รับผลกระทบเชิงลบจากการตัดจำหน่ายสินทรัพย์เพียงครั้งเดียวประมาณ 430 ล้านบาท รายจ่ายเพื่อการลงทุนสำหรับไตรมาสนี้อยู่ที่ 2,180 ล้านบาท และด้วยความคาดหมายว่าการควบรวมกิจการจะเสร็จสิ้นในไตรมาสที่ 1/66 ฝ่ายบริหารของดีแทคจึงงดให้คำแนะนำเกี่ยวกับแนวโน้มสำหรับปี 2566”
ตัวเลขสำคัญทางการเงิน สำหรับปี 2565
- รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่า IC 55,512 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.6 เมื่อเทียบกับปีก่อน
- EBITDA อยู่ที่ 29,851 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.5 จากปีก่อน
- อัตรากำไร EBITDA (normalized) อยู่ที่ร้อยละ 45.2
- กำไรสุทธิ 3,119 ล้านบาท