25 มี.ค. 2566 1,366 12

ไฮไลต์ รถใหม่ และความน่าสนใจใน Motor Show 2023 วันที่ 22 มีนาคม–2 เมษายน 2566

ไฮไลต์ รถใหม่ และความน่าสนใจใน Motor Show 2023 วันที่ 22 มีนาคม–2 เมษายน 2566

งาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 จัดขึ้นที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 22 มีนาคม-2 เมษายน 2566 โดยเปิดให้เข้าชมงานเวลา 12.00-22.00น. (วันหยุด เปิดให้เข้าชมงานตั้งแต่เวลา 11.00-22.00 น.) ราคาบัตรเข้าชมงาน 100 บาท เราคัดไฮไลต์ รถใหม่ และความน่าสนใจใน Motor Show 2023 มาฝากกัน

NEW MG ES และ NEW MG MAXUS 9 



NEW MG ES สเตชันวากอนไฟฟ้า 100% รุ่นใหม่ เปิดตัวภายใต้คอนเซ็ปต์ “COMFORTABLE เป็นทุกอย่างเพื่อทุกโมเมนต์” พร้อมชุดกันชนหน้าไฟหน้าดีไซน์ใหม่แบบ Light Curtain Design ยกระดับความโฉบเฉี่ยวมากขึ้น เสริมการใช้งานมากขึ้นด้วยชุดราวหลังคา (Roof Rail) ที่รองรับน้ำหนักได้ถึง 75 กิโลกรัม และด้วยรูปโฉมสไตล์สเตชันวากอน จึงมาพร้อมกับห้องโดยสารที่กว้างขวางนั่งสบาย ทั้งยังสามารถบรรจุสัมภาระสูงสุดถึง 1,367 ลิตร ตกแต่งภายในด้วยเส้นสายโทนสีฟ้า ENERGETIC BLUE STRIP ให้ภายในหรูหรายิ่งขึ้น พร้อมเบาะนั่งวัสดุหุ้มหนังสังเคราะห์ DENIM TEXTURE DESIGN ให้ผิวสัมผัสคล้ายยีนส์ ปรับลุคให้ดูมีความทันสมัยและดูแลรักษาง่าย ชุดเบาะนั่งดีไซน์ใหม่ ยกขอบปีกข้าง พร้อมเทคโนโลยี Zero-G Seats กระจายน้ำหนักและรองรับสรีระของผู้นั่งให้ดียิ่งขึ้น เดินทางระยะไกลได้สบาย


เต็มที่ในทุกการเดินทางด้วยนวัตกรรมรถไฟฟ้าใหม่ NEW MG ES มาพร้อมแพลตฟอร์มระบบส่งกำลัง ใหม่ล่าสุด ที่มีขนาดและน้ำหนักลดลง แต่ประสิทธิภาพสูงขึ้นถึง 53% ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าเจเนอเรชั่นใหม่แบบ 8-LAYER HAIR PIN PERMANENT MAGNETIC SYNCHRONOUS MOTOR (PMSM) ให้พละกำลังสูงสุดที่ 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร ซึ่งมอเตอร์แบบใหม่นี้ให้การตอบสนองที่ดีขึ้น โดยสามารถปรับเร่งรอบได้สูงถึง 15,000 รอบ/นาที ทำให้ NEW MG ES สามารถทำความเร็วสูงสุดได้มากถึง 185 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสริมสร้างประสบการณ์การขับขี่ไปอีกระดับด้วยระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) ถึง 3 ระดับ ได้แก่ มาก ปานกลาง และน้อย เข้าโค้งได้อย่างมีประสิทธิภาพกับรัศมีวงเลี้ยวเพียง 5.95 เมตร

NEW MG ES มาพร้อมกับแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอรอนฟอสเฟต (LFP) ความจุ 51 kWh มีการปรับปรุงให้มีน้ำหนักเบาลงถึง 22% และระบบ Liquid Cooling System ช่วยระบายความร้อนให้ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ให้สมรรถนะในการขับเคลื่อนได้ไกลถึง 412 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC (NEW EUROPEAN DRIVING CYCLE) รองรับการชาร์จ      ทั้งแบบ Quick Charge จาก 0% - 80% ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ที่ความเร็วสูงสุด 87 kW และ Normal Charge รองรับการชาร์จสูงสุดที่ 11 kW ใช้เวลาการชาร์จจาก 0% – 100% 7 ชั่วโมง 15 นาที ผ่าน MG HOME CHARGER ที่ 6.6 kW อีกทั้งยังรองรับระบบ V2L (Vehicle to Load) เปลี่ยนรถไฟฟ้าให้เป็นแหล่งจ่ายไฟไปยังอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ด้วยกำลังไฟสูงสุด 2,200 วัตต์

NEW MG ES มาพร้อมกับสีตัวถังให้เลือกถึง 5 สี ได้แก่ สีขาว (Arctic White) สีดำ (Black Knight) สีเทา (Andes Gray) สีแดง (Scarlet Red) และ สีเงิน (Champagne Silver) และตกแต่งภายในสไตล์ทูโทน พร้อมหุ้มด้วยวัสดุหนังสังเคราะห์ DENIM TEXTURE DESIGN

NEW MG ES จะมีกำหนดการทยอยส่งมอบให้ถึงมือลูกค้าภายในเดือนเมษายนนี้ เป็นต้นไป ทั้งนี้ ในฐานะ ผู้บุกเบิกและผู้นำตลาดรถไฟฟ้าในไทย ไม่เพียงนำเสนอยนตรกรรมที่มีความก้าวล้ำทางด้านสมรรถนะและผสมผสานเข้ากับดีไซน์ที่เรียบหรูแต่ครบครันไปด้วยฟังก์ชันที่ใช้ได้จริงแล้ว เอ็มจี ยังเดินหน้าขยายระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ECOSYSTEM ให้ครอบคลุมในทุกมิติ เพื่อให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่   สังคมอีวีอย่างแท้จริง ทั้งการตั้งเป้าหมายการขยายสถานีชาร์จเร็ว หรือ MG SUPER CHARGE STATION ในโชว์รูมและศูนย์บริการทั่วประเทศ ให้ลูกค้าสามารถใช้งานรถไฟฟ้าได้อย่างสะดวกสบายทั่วประเทศ โดยทุกๆ 150 กิโลเมตร จะมีสถานีชาร์จอย่างน้อย 1 สถานีให้บริการ อีกทั้งยังร่วมมือกับพันธมิตรในการเพิ่มจำนวนสถานีชาร์จแบบไวในพื้นที่ต่างจังหวัดมากยิ่งขึ้น รวมถึงการให้ความสำคัญกับการบริการหลังการขายในการดูแลและบำรุงรักษารถไฟฟ้าโดยช่างผู้ชำนาญงานในทุกศูนย์บริการเอ็มจี  เพื่อทำให้คนไทยมั่นใจในการใช้รถไฟฟ้าได้มากยิ่งขึ้น”

เผยโฉม NEW MG MAXUS 9 ครั้งแรกในไทยและภูมิภาคอาเซียน


เปิดตลาดอีวีเซกเมนต์ใหม่แบรนด์แรกในไทยด้วย NEW MG MAXUS 9 รถลักชัวรี่ MPV ไฟฟ้า100% แบบ 7 ที่นั่ง เป็นพวงมาลัยขวาคันแรกของประเทศไทยและอาเซียน โดดเด่นด้วยหลังคา Dual Panoramic Sunroof ยาวถึงด้านหลัง ทำให้ห้องโดยสารดูโปร่ง โล่ง สัมผัสกับความสะดวกสบายครั้งใหม่ด้วยเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะนั่งผู้โดยสารปรับอัตโนมัติ 4 ทิศทาง และเบาะนั่งแถวที่สองแบบ VIP Captain Seat ที่มีระบบบันทึก ระบบนวด และสามารถปรับระดับอุณหภูมิได้ตามต้องการ มอบประสบการณ์ MPV ไฟฟ้า 100% เต็มประสิทธิภาพด้วยมอเตอร์ให้กำลังสูงสุดที่ 180 กิโลวัตต์ หรือ 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 350 นิวตัน-เมตร แบตเตอรี่ความจุขนาด 90 kWh ให้ระยะวิ่งสูงสุดที่ 540 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC

มั่นใจด้วยระบบความปลอดภัยรอบคัน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM มากถึง 25 ระบบ พร้อมมาตรฐานความปลอดภัย 5 ดาว ทั้ง EURO NCAP และ AUSTRALIAN NCAP ซึ่ง NEW MG MAXUS 9 จะมีให้เลือก 2 รุ่น คือ รุ่น X – LUXURY และ รุ่น V - SUPER LUXURY ทั้งนี้ เอ็มจี ได้ให้เอกสิทธิ์คนไทยที่สนใจเป็นเจ้าของ ด้วยการเปิดรับจองล่วงหน้า พร้อมรับข้อเสนอพิเศษ จอง 20,000 บาท ได้ส่วนลดเพิ่มอีก 20,000 บาท รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 40,000 บาท ภายในงานมอเตอร์โชว์และ โชว์รูมเอ็มจี รวมทั้งช่องทางเว็บไซต์ https://onlinebooking.mgcars.com/  และแอพพลิเคชัน MG THAILAND  โดยมีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ 

MG ปลื้มกระแสรถไฟฟ้าดีเกินคาด เตรียมแผนส่งมอบรถไฟฟ้าถึงมือลูกค้าภายในไตรมาส 2


กระแสตอบรับรถยนต์ไฟฟ้าดีเกินคาด หลังเปิดตัวรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ NEW MG ES สเตชันวากอน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “COMFORTABLE เป็นทุกอย่างเพื่อทุกโมเมนต์” ปัจจุบันมียอดจองกว่า 700 คัน และอีกหนึ่งรุ่นซึ่งถือเป็นบิ๊กเซอร์ไพรส์อย่าง NEW MG MAXUS9 ที่ให้ลูกค้าคนไทยได้สัมผัสคันจริงเป็นครั้งแรกในงาน มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 พร้อมเปิดรับจองเพื่อเป็นเจ้าของก่อนใคร กับระยะเวลาเพียง 7 วัน โกยยอดจองไปกว่า 700 คัน โดย เอ็มจี เดินหน้าแผนนำเข้ารถไฟฟ้าทั้ง 2 รุ่น รุ่นละ 1,000 คัน ในช่วงไตรมาส 2 เพื่อส่งมอบรถไฟฟ้าสู่ลูกค้าคนไทยต่อไป

เตรียมแผนส่งมอบ NEW MG ES จำนวน 1,000 คัน ภายในเดือนมิถุนายน 2566 สำหรับ NEW MG MAXUS9 ที่มีกำหนดประกาศราคาอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม 2566 และเตรียมส่งมอบรถจำนวน 1,000 คัน ภายในเดือนมิถุนายน 2566 เช่นกัน นอกจาก 2 โมเดลนี้ ภายในงานฯ รถไฟฟ้าที่ลูกค้าให้ความสนใจทดลองขับมากที่สุดเป็นรุ่น NEW MG 4 Electric รองลงมาเป็น NEW MG ZS EV โดยทั้ง 2 รุ่น ทาง เอ็มจี มีรถที่พร้อมจะส่งมอบให้กับลูกค้าโดยเร็วที่สุด”

ในส่วนของกลุ่มรถยนต์เครื่องสันดาปภายใน และรถยนต์พลังงานทางเลือก มียอดจองรวมกว่า 600 คัน ด้วยความคุ้มค่าที่เอ็มจีมอบให้กับดอกเบี้ยต่ำสุด 0% ผ่อนนานสูงสุด 7 ปี ผู้สนใจสามารถเยี่ยมชมและทดลองขับยนตรกรรมคุณภาพจากเอ็มจีทุกรุ่น ในงาน มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 ตั้งแต่วันนี้ ถึง 2 เมษายน 2566 ณ บูธเอ็มจี หมายเลข A8 อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ฮอลล์ เมืองทองธานี และที่โชว์รูมและศูนย์บริการคุณภาพของ เอ็มจี ทั่วประเทศ

NETA V, NETA S และ NETA Kid


สะท้อนความสปอร์ต (Sporty) สำหรับคนรุ่นใหม่ (Young) และมีความทันสมัย (Fashion) ไปกับ “NETA V” (เนต้า วี) รถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นยอดนิยมสไตล์ City Car มีแผนนำเสนอสีใหม่ในโทนสีเขียว Moonlight Green ที่จะส่งมอบให้กับลูกค้าได้ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมนี้ และ “NETA S” (เนต้า เอส) รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสไตล์ Sporty Smart Coupé ให้พละกำลังสูงสุดถึง 462 แรงม้า รวมทั้ง NETA Kid รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสำหรับเด็ก ถอดแบบมาจาก NETA S


พร้อมพบกับ “Mini Commercial EV” ต้นแบบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก ได้ที่บูธหมายเลข A20 อิมแพค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2 เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 22 มีนาคม - 2 เมษายน 2566 นี้


ทั้งนี้ มีการนำเข้า NETA V เป็นชิปเม้นต์ล็อตใหญ่จำนวนกว่า 3,600 คัน มาจากท่าเรือกวางโจว รองรับความต้องการของลูกค้าที่จองรถพลังงานไฟฟ้าไว้ก่อนหน้านี้ และในช่วงของงานมอเตอร์โชว์ ซึ่งจะเริ่มส่งมอบได้ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมนี้


นอกจากนี้ บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด ยังได้จับมือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)  เดินหน้าสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของประเทศ ผ่านการลงนามความร่วมมือด้านการพัฒนาสถานีชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้า รวมไปถึงการร่วมพัฒนาเพลตฟอร์มสำหรับโครงการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดย กฟผ. ได้พัฒนาสถานีชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้าภายใต้ชื่อสถานีชาร์จ EleX by EGAT ซึ่งสามารถรองรับการชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของ NETA  โดยปัจจุบันสถานีชาร์จ EleX by EGAT และสถานีพันธมิตรในเครือข่าย EleXA แล้วกว่า 104 สถานีทั่วประเทศ และตั้งเป้าขยายสถานีชาร์จให้มีจำนวนรวมกว่า 150 สถานี ภายในสิ้นปี  2566 ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ารวมไปถึงลูกค้าของ NETA ทุกท่านสามารถเดินทางทั่วประเทศได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ NETA ได้วางแผนศึกษาและพัฒนา NETA Application ที่อำนวยความสะดวกในการค้นหาสถานีชาร์จให้กับผู้ใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าผ่านแอพลิเคชันบนมือถือ โดยจะมีการแชร์ข้อมูลสถานีชาร์จระหว่างแพลตฟอร์มของ EGAT และ NETA เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น  รวมไปถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมให้ความรู้กับคนที่สนใจและกิจกรรมอื่นๆ ร่วมกัน ในอนาคต เช่น การให้ Charging Credit แก่ลูกค้าผู้ใช้รถ NETA

เปิดจอง All New GWM TANK 500 Hybrid SUV

GWM เปิดจองสิทธิ์ซื้อ All New GWM TANK 500 Hybrid SUV รถยนต์เรือธงรุ่นแรกภายใต้แบรนด์ TANK รวมถึงเดินหน้าเปิดรับจอง ORA Good Cat เพิ่มเติม


All New GWM TANK 500 Hybrid SUV รถยนต์เอสยูวีออฟโรดระดับพรีเมียม พัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์ม TANK โมดูล่าร์ออฟโรดอัจฉริยะ มีความยืดหยุ่นสูง สามารถรองรับระบบเครื่องยนต์ได้หลายประเภทและหลากหลายขนาด ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังรวมสูงสุด 350 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 616 นิวตันเมตร ระบบเกียร์ 9HAT ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับระบบการขับเคลื่อนที่หลากหลายของรถยนต์ไฮบริด พร้อมโหมดการขับขี่ถึง 11 รูปแบบ


จองสิทธิ์เพื่อซื้อ All New GWM TANK 500 Hybrid SUV พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษก่อนการเปิดตัวและประกาศราคาอย่างเป็นทางการภายใต้แพ็กเกจ Value Plus ลูกค้าสามารถจองสิทธิ์ซื้อได้ในราคาเพียง 5,000 บาท จากมูลค่าสิทธิประโยชน์รวมสูงกว่า 60,000 บาท 

  • ส่วนลดเงินสดมูลค่า 50,000 บาทในการซื้อรถ
  • ฟรี แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตภายในรถเป็นระยะเวลา 3 ปี
  • ป้ายโลหะ GWM TANK 500 สุดเอ็กซ์คลูซีฟ (จำกัดเพียง 500 ท่านเท่านั้น)

ผู้ที่สนใจสามารถจองสิทธิ์เพื่อซื้อแพ็กเกจ Value Plus ได้ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2566 เวลา 00.01 น. ถึงวันที่ 18 พฤษภาคม 2566 เวลา 18.00 น. โดยลูกค้าจะต้องชำระเงินมัดจำจำนวน 10,000 บาท ระหว่างวันที่ 18 พฤษภาคม 2566 เวลา 20.00 น. ถึงวันที่ 18 มิถุนายน 2566 เวลา 23.59 น. และรับรถภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 เพื่อรับสิทธิ์ดังกล่าว

All New GWM TANK 500 Hybrid SUV – Nothing is Unreachable ไม่มีความสำเร็จไหนที่ไปไม่ถึง เป็นรถยนต์จะมาสร้างความตื่นเต้น ความแตกต่าง และประสบการณ์ที่เหนือชั้นให้กับตลาดรถยนต์เอสยูวีและผู้บริโภคชาวไทย TANK เป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวของ 4 บุคลิกที่เราเลือกส่งต่อผ่านผลิตภัณฑ์ตัวใหม่นี้ อันได้แก่ T - คือ Tough ทรหด อดทน ผจญทุกอุปสรรค, A – Ambitious มุ่งมั่น ไม่หยุดนิ่ง ก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ, N – Normal เรียบง่าย เข้าถึงได้ เป็นตัวของตัวเอง แต่แฝงไว้ด้วย K – Kind ความดีงามของจิตใจ ความอ่อนโยน คิดถึงคนรอบข้าง DNA ของ TANK ที่มีความบึกบึน ทรหด แต่เปี่ยมไปด้วยความเรียบหรู สง่างาม

All New GWM TANK 500 Hybrid SUV มี 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น ULTRA และรุ่น PRO และมีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ ขาว ดำ เทา แดง และสีใหม่เทาคริสตัล (เฉพาะรุ่น ULTRA) จับคู่กับสีภายในสีดำและทูโทนสีน้ำเงิน-เบจ (เฉพาะรุ่น ULTRA และสีเทาคริสตัล) ตัวรถมีขนาดกว้างขวางและใหญ่ที่สุดในรถระดับเดียวกัน โดยมิติตัวรถอยู่ที่ 1,934 x 5,078 x 1,905 มม. (กว้าง x ยาว x สูง) ระยะฐานล้อ 2,850 มม. การออกแบบระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระ ดับเบิ้ล ครอส อาร์ม และระบบกันสะเทือนหลังแบบอิสระมัลติลิงค์ ให้การขับขี่ที่ยึดเกาะถนนและนั่งสบายเพื่อตอบสนองการขับขี่ทั้งในเมืองและนอกเมือง เพื่อความต้องการของทุกคนในครอบครัว

ผู้ที่สนใจสามารถเยี่ยมชม All New GWM TANK 500 Hybrid SUV และทัพยานยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคต สามารถลงทะเบียนเพื่อทดลองขับรถยนต์หลากหลายรุ่นได้ที่ บูธ A4 ภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1 – 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม – 2 เมษายน 2566 เวลา 12.00 – 22.00 น. (วันธรรมดา) และ 11.00 – 22.00 น. (วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ)


นอกจากนี้ แบรนด์ HAVAL ก็มีการแนะนำ All New HAVAL H6 Plug-in Hybrid SUV ที่เพิ่งคว้ารางวัล “BEST HYBRID SUV UNDER 1,600 C.C” จากงานประกาศรางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปี “CAR & BIKE OF THE YEAR 2023” พร้อมด้วยทัพรถยนต์ยอดนิยมอีก 4 รุ่นอย่าง New HAVAL H6 Hybrid SUV ที่ครองตำแหน่งผู้นำในเซ็กเมนต์คอมแพคเอสยูวีอย่างต่อเนื่อง, HAVAL JOLION Hybrid SUV เจ้าสิงโตอารมณ์ดีที่มาพร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะมากมาย, ORA Good Cat รถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่จุดกระแสตลาดรถยนต์ไฟฟ้าให้กับชาวไทยและได้รับความนิยมจากคนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้เปิดตัวสีใหม่สุดน่ารัก Pistachio Green และ ORA Good Cat GT เจ้าเหมียวสปอร์ตไฟฟ้าดีไซน์โดดเด่นด้วยสมรรถนะอันเร้าใจ

BYD แรงไม่หยุด! เปิดตัว DOLPHIN EV พวงมาลัยขวา

หลังจากเปิดตัวรุ่น ATTO 3 อย่างเป็นทางการไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา ล่าสุด BYD ได้เปิดตัว BYD DOLPHIN EV พวงมาลัยขวา รุ่นเล็กกะทัดรัดที่ทุกคนรอคอย พร้อมเปิดให้จองรุ่น Standard Range ในราคาคาดการณ์จำหน่าย 799,999 บาท!


BYD DOLPHIN EV พวงมาลัยขวา รุ่น Standard Range 2 สี ได้แก่ Coastal Cream และ Flora Purple โดยเปิดรับจองรถยนต์ไฟฟ้า BYD DOLPHIN ขับเคลื่อนด้วยพวงมาลัยขวาเป็นประเทศแรกในโลก ด้วยราคาคาดการณ์จำหน่ายที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ 799,999 บาท พร้อมกันทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคมเป็นต้นไป และพร้อมส่งมอบรถตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมนี้

สำหรับทุกท่านที่เข้ามาเป็นครอบครัว BYD DOLPHIN เรายินดีที่จะมอบสิทธิพิเศษ Rêver Care เพื่อดูแลและเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้า มูลค่ารวมกว่า 150,000 บาท ประกอบด้วย ออกรถง่ายๆด้วยเงินเริ่มต้นเพียง 39,999 บาท* ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พรบ. ระยะเวลา 1 ปี* มั่นใจไปกับการรับประกันคุณภาพตัวรถและแบตเตอรี่นาน 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร* อุ่นใจด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง นาน 8 ปี* บริการบำรุงรักษา ค่าแรง ค่าอะไหล่ นาน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร* เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์จำเป็น อย่าง Home Charger พร้อมฟรีค่าติดตั้ง* สายต่อพ่วงอุปกรณ์ไฟฟ้า Vtol สายชาร์จเคลื่อนที่ Portable Charger ค่าจดทะเบียน พรมเข้ารูป กรอบป้ายทะเบียน ฟิล์มหน้าจอ


BYD DOLPHIN

  • BYD DOLPHIN Standard Range        ราคาคาดการณ์จำหน่าย 799,999 บาท

BYD ATTO 3 มีวางจำหน่าย 2 รุ่น

  • BYD ATTO 3 Extended Range          ราคา 1,199,900 บาท
  • BYD ATTO 3 Standard Range           ราคา 1,099,900 บาท

ยลโฉม Mazda MX-30


ไฮไลต์ของบูธมาสด้าในงานมอเตอร์โชว์ มาสด้าได้นำนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้า Mazda MX-30 BEV มาจัดแสดงสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในยนตรกรรมหลากหลายทางเลือกตามแนวทาง Multi-solution Technology ที่ตอบสนองความต้องการทุกรูปแบบมาจัดแสดงให้ผู้ที่สนใจได้รับชม ถือเป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบตามแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีในอนาคตของมาสด้า และเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น เพื่อตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการส่งมอบเทคโนโลยียานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ระยะกลาง Sustainable Zoom-Zoom 2030 ที่มาสด้ามุ่งมั่นเพื่อสร้างสรรค์โลกของเราให้คงความสวยงาม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน และสร้างสังคมที่ยั่งยืน เพื่อผู้คนในเจเนอเนชั่นต่อไป


โปรโมชั่นสำหรับคนที่อยากเป็นเจ้าของรถยนต์มาสด้าทุกรุ่น อาทิ ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance ฟรีโปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ 5 ปี และฟรีของพรีเมี่ยมสุดพิเศษจากมาสด้า


นอกจากจะได้ยลโฉมและสัมผัสรถไฟฟ้า MAZDA MX-30 ที่นำมาจัดแสดงแล้ว มาสด้าขอเชิญชวนลูกค้าที่สนใจเข้ามาจับจองเป็นเจ้าของรถยนต์มาสด้า มาร่วมสัมผัสความสง่างามของยนตรกรรมภายใต้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์นั่ง Mazda2 และ Mazda3 รถครอสโอเวอร์เอสยูวี CX-Series รถปิกอัพ Mazda BT-50 และรุ่นพิเศษ Mazda Carbon Edition พร้อมรับข้อเสนอพิเศษมากมายภายใต้แคมเปญ Mazda Motor Show 2023 ด้วยดอกเบี้ยต่ำสุด 0%*, ฟรีประกันภัยชั้น 1 Mazda Premium Insurance*, ฟรีโปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ 5 ปี Mazda Ultimate Service (MUS)* และเมื่อจองในงาน 5,000 บาท และรับรถภายใน 30 เม.ย. 66 รับฟรีเครื่องฟอกอากาศ SHARP รุ่น FP-F30TA-A มูลค่า 2,990 บาท* (จำนวนจำกัด) ตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค 66 - 2 เม.ย. 66 ที่งาน มอเตอร์ โชว์ หรือรับข้อเสนอเดียวกันนี้ที่โชว์รูมมาสด้าใกล้บ้านทั่วประเทศ

เปิดตัวฟอร์ด เจเนอเรชันใหม่ รุ่นย่อยล่าสุด

  • รถกระบะกับฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่นสตอร์มแทรค ต่อยอดความสำเร็จของกระบะออฟโรดสมรรถนะสูง ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เจเนอเรชันใหม่ ด้วยตัวเลือกเครื่องยนต์ ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่
  • แนะนำฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่น XLS กระบะยกสูงเกียร์อัตโนมัติพร้อมฟังก์ชันครบครันเพื่อการใช้งาน ในแพ็คเกจสุดคุ้ม
  • ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่นย่อยใหม่ล่าสุด รุ่นไวลด์แทรค สำหรับครอบครัวที่รักความท้าทายและการผจญภัย

เปิดตัวรุ่นย่อยล่าสุดของรถฟอร์ด เรนเจอร์ และเอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ ต่อยอดความเป็นผู้นำไปอีกขั้นด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ไม่เคยมีมาก่อนในรถกระบะ เพื่อยกระดับการตอบสนองไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตและการทำงานที่หลากหลายและครอบคลุมยิ่งขึ้นในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 พร้อมจัดทัพรถยนต์ฟอร์ด เจเนอเรชันใหม่ทุกรุ่น พร้อมโปรโมชั่นสุดเร้าใจภายในงานและผู้จำหน่ายฟอร์ดทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม – 2 เมษายน 2566

ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่นสตอร์มแทรค


ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่นสตอร์มแทรค รุ่นท็อปใหม่ล่าสุดของเรนเจอร์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สุดท้าทายไปอีกขั้นด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ไม่เคยมีมาก่อนในรถกระบะ ฟอร์ดได้ติดตั้งราวหลังคาและสปอร์ตบาร์แบบปรับได้ (Flexible Rack System) ขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่ปรับรูปแบบสปอร์ตบาร์ได้มากถึง 5 ตำแหน่งด้วยมือเดียว ทั้งยังรองรับการติดตั้งหรือขนย้ายอุปกรณ์เพื่อการผจญภัยและการทำงานได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น พร้อมรองรับน้ำหนักสูงสุดถึง 80 กก. ขณะขับและ 250 กก. ขณะจอด

ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่นสตอร์มแทรค ติดตั้งขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ที่มาพร้อมตัวเลือกระบบขับเคลื่อนแบบ 4x4 และ 4x2 ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แบบ E-Shifter มีเทคโนโลยีระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Fully Automated Park Assist) เป็นครั้งแรกในตลาดรถกระบะ (นอกเหนือจากฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ซึ่งเป็นรถกระบะในตระกูลฟอร์ดเพอร์ฟอร์มานซ์)

ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่นสตอร์มแทรค เปิดตัวในราคา 1,264,000 บาท สำหรับรุ่น 4x2 และราคา 1,399,000 บาท สำหรับรุ่น 4x4 พร้อมตัวเลือกสีรถ ได้แก่ สีขาวอาร์กติก ไวท์, สีเทา เมทิเออร์ เกรย์, สีดำ แอบโซลูท แบล็ก และสีส้ม เซโดนา ออเรนจ์  (สีพิเศษ เพิ่มเงิน 10,000 บาท)

ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เจเนอเรชันใหม่ เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่


รถกระบะออฟโรดสมรรถนะสูงอันทรงพลัง อัดแน่นด้วยดีเอ็นเอฟอร์ด เพอร์ฟอร์มานซ์ มาพร้อมตัวเลือกเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ให้ลูกค้าคอออฟโรดตัวจริงมีอิสระในการได้สัมผัสสุดยอดรถกระบะที่โดดเด่นทั้งในด้านการออกแบบที่ดุดันและอุปกรณ์เทคโนโลยีทันสมัย ไม่ว่จะเป็นระบบเกียร์ไฟฟ้า (E-Shifter) กล้องมองรอบคัน 360 องศา เบรกมือไฟฟ้า เทคโนโลยีช่วยการขับขี่ขั้นสูง ไฟหน้าแบบเมทริก แอลอีดี ไฟท้ายแอลอีดี หน้าจอแสดงผลบนหน้าปัดขนาด 12.4 นิ้ว หน้าจอควบคุมการสั่งงานแบบสัมผัสขนาด 12 นิ้ว แท่นชาร์จแบบไร้สาย และระบบเชื่อมต่อการสื่อสารผ่าน FordPass เปิดตัวในราคาเพียง 1,769,000 บาท

ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่น XLS


รถกระบะรุ่นรถกระบะยกสูงเกียร์อัตโนมัติราคาคุ้มค่า ในตระกูลฟอร์ด เรนเจอร์ ที่ตอบโจทย์การใช้งานแบบอเนกประสงค์สำหรับกลุ่มลูกค้าเจ้าของธุรกิจขนาดย่อม มาพร้อมความแข็งแกร่งของตัวถังและช่วงล่าง ผสานเทคโนโลยีทันสมัย และระบบความปลอดภัยครบครัน โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ดุดัน สมรรถนะที่ทรงพลังและเปี่ยมประสิทธิภาพ

ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่น XLS มาพร้อมตัวเลือกทั้งแบบ 4 ประตู และแบบตอนครึ่ง ติดตั้งขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบเดี่ยว และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และเพิ่มคุณสมบัติด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ที่อัดแน่นเต็มคันเพื่อตอบโจทย์การเป็นรถกระบะเพื่อการทำงานอย่างตรงจุด

ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่น XLS เปิดตัวในราคาสุดเร้าใจที่ 794,000 บาทสำหรับกระบะแบบตอนครึ่ง และ 879,000 บาท สำหรับรุ่นกระบะ 4 ประตู พร้อมตัวเลือกสีรถมากถึง 5 สี ได้แก่ สีเงิน อลูมิเนียม เมทัลลิก, สีขาวอาร์กติก ไวท์, สีเทา เมทิเออร์ เกรย์, สีดำ แอบโซลูท แบล็ก และสีน้ำเงิน บลู ไลท์นิ่ง

ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่นไวลด์แทรค


ด้านระบบส่งกำลังและแรงบิด ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่นไวลด์แทรค มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แบบ E- Shifter อันทรงประสิทธิภาพ มาพร้อมระบบขับเคลื่อนแบบ 4x4 ที่มีตัวเลือกโหมดการขับขี่มากถึง 6 โหมดการขับขี่ ประกอบด้วย โหมดปกติ โหมดประหยัด  โหมดลากจูงและบรรทุก โหมดถนนลื่น โหมดโคลน และโหมดทราย เพื่อสมรรถนะสูงสุดสำหรับการเดินทางบนทุกสภาพพื้นผิว 

ห้องโดยสารได้รับการออกแบบโฉมใหม่ด้วยสีดำทั้งหมด รวมทั้งเบาะหนังและหนังสังเคราะห์สีดำพร้อมเดินด้ายสีส้ม และโลโก้ซิกเนเจอร์ 'Wildtrak’ ที่เบาะคู่หน้า ให้มีความดุดันเป็นเอกลักษณ์สไตล์ไวลด์แทรค และด้วยรูปลักษณ์ที่แตกต่างแบบเดียวกับฟอร์ด เรนเจอร์ ไวลด์แทรค ผสมผสานดีไซน์กระจังหน้าอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของฟอร์ด เอเวอเรสต์ รุ่นไวลด์แทรค พร้อมตัวอักษร WILDTRAK สีดำบนฝากระโปรงหน้า ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่นไวลด์แทรค จึงสะท้อนสไตล์ของนักผจญภัยอย่างแท้จริง

ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่นไวลด์แทรค เปิดตัวในราคา 1,899,000 บาท พร้อมตัวเลือกสีรถมากถึง 6 สี ได้แก่ สีมาตรฐาน สีเงิน อลูมิเนียม เมทัลลิก, สีเทา เมทิเออร์, เกรย์ สีดำ แอบโซลูท แบล็ก และสีพิเศษ สีขาวมุก สโนว์เฟลก ไวท์ เพิร์ล, สีเหลือง ลักซ์ เยลโลว์ และสีส้ม เซโดนา ออเรนจ์ (เพิ่มเงิน 12,000 บาท)

ฟอร์ดมอบข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับรถยนต์ 4 รุ่นใหม่ ดังนี้

  • ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่น XLS โอเพนแค็บ ผ่อนเริ่มต้น 5,599 บาท ดับเบิลแค็บ ผ่อนเริ่มต้น 7,199 บาท
  • ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่นสตอร์มแทรค และฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เจเนอเรชันใหม่ เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ มาพร้อมอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.99% 
  • ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่นไวลด์แทรค มอบอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.89% 
  •  ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่นโอเพ่นแค็บ XL+ จำหน่ายในราคาพิเศษ 599,000 บาท จากราคาปกติ 709,000 บาท
  • ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่นดับเบิ้ลแค็บ XLT ผ่อนเริ่มต้น 6,999 บาท
  • ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่นไวลด์แทรค ผ่อนเริ่มต้นเพียง 9,999 บาท พร้อมรับบัตรน้ำมัน 10,000 บาท เมื่อจองและออกรถภายในวันที่ 31 มีนาคม 2566
  • ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่นสปอร์ต ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เจเนอเรชันใหม่ เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร และฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ มาพร้อมอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.99% ผ่อนนาน 48 เดือน ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง
  • รถฟอร์ด เจเนอเรชันใหม่ ทุกรุ่นมาพร้อมโปรแกรม Ford Care รับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่จากโรงงาน นาน 5 ปี /150,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน)

พิเศษ เมื่อลูกค้าฟอร์ด และครอบครัวที่เป็นเจ้าของรถฟอร์ดอยู่แล้ว ออกรถฟอร์ด เจเนอเรชันใหม่ ทุกรุ่น ตั้งแต่วันที่ 1 – 31 มีนาคม 2566 รับฟรีโปรแกรม Ford Care+ มูลค่าสูงสุด 27,290 บาท เพิ่มความอุ่นใจในการขับขี่ตลอดระยะเวลา 5 ปี ครอบคลุมตั้งแต่การรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่จากโรงงาน การบำรุงรักษารถยนต์ตามระยะ รวมค่าแรงและค่าอะไหล่ ไปจนถึงบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ลูกค้าเดิมที่ซื้อฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่นไวลด์แทรค รับบัตรน้ำมันเพิ่มเป็น 20,000 บาท ลูกค้าที่สนใจดูข้อมูลและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.ford.co.th

ติดตามข้อมูลเกี่ยวกับรถฟอร์ดรุ่นย่อยใหม่ได้จากแฮชแท็ก #FordNextLevel #FordRangerStormtrak #FordRangerRaptorDiesel #FordRangerXLS และ #FordEverestWildTrak