2 พ.ค. 2566 859 2

NIA – สถาบันเอเชียศึกษา – คณะสถาปัตย์ จุฬาฯ ดึง 7 พรรคการเมือง ร่วมเวทีดีเบต 5 โจทย์นวัตกรรมครั้งแรกของเมืองไทย

NIA – สถาบันเอเชียศึกษา – คณะสถาปัตย์ จุฬาฯ ดึง 7 พรรคการเมือง ร่วมเวทีดีเบต 5 โจทย์นวัตกรรมครั้งแรกของเมืองไทย

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ร่วมกับสถาบันเอเชียศึกษา และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดพื้นที่ชวนตัวแทนพรรคการเมืองร่วมดีเบตนโยบายนวัตกรรมสู่การขับเคลื่อนประเทศด้วยมิติการเมืองใหม่ พร้อมโชว์วิสัยทัศน์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ – สังคมของประเทศไทยด้วยนวัตกรรมเพื่อเรียกความเชื่อมั่นกับประชาชน นอกจากนี้ ยังเผยถึงนโยบายด้านนวัตกรรมกับการแก้ไขปัญหาของไทยตามแนวคิด 3C “Competitiveness – Corruption - Climate Change” ที่ผู้นำจำเป็นต้องนำนวัตกรรมมาเร่งสร้างการเปลี่ยนแปลง


ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า การเลือกตั้งที่ใกล้ถึงนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งของประเทศไทย ซึ่งจะเห็นได้ว่าหลายพรรคการเมืองได้ออกนโยบายเพื่อสร้างและพัฒนาประเทศให้มีพัฒนาการในด้านเศรษฐกิจ สังคม สวัสดิการ สาธารณสุข การศึกษา และอีกหลากหลายด้านตามบริบทวิถีชีวิตและสภาพแวดล้อมโลกที่เปลี่ยนไป โดยการจะสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้นั้น NIA เชื่อมั่นว่าควรนำ “นวัตกรรม” มาเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อน และต้องทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่านวัตกรรมไม่ใช่แค่เรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) เพียงอย่างเดียว แต่ปัจจัยทางนวัตกรรมจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ การจ้างงาน ความมั่นคงในชีวิตได้อย่างแท้จริง


“นโยบายนวัตกรรมในประเทศไทยมักจะเป็นการพูดรวมกันระหว่างนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพราะมองว่านวัตกรรมมาจากการวิจัยและพัฒนา แต่จริง ๆ มีสิ่งที่ตรงประเด็นกว่านั้นคือ การสร้างบริษัทที่นำเทคโนโลยีและแนวคิดใหม่มาใช้ เนื่องจากพบปัญหาคือบริษัทที่ทำในด้านนวัตกรรมนั้นยังมีไม่มากพอ อีกทั้งการที่บริษัทจะโตในเศรษฐกิจฐานรากได้ ต้องสร้างบริษัทที่ทำด้านนวัตกรรมและขายได้ในระดับโลกให้เพิ่มขึ้น เพราะปัจจุบันโครงสร้างพื้นฐานระบบนวัตกรรมของไทยถูกผลักดันจากบริษัทขนาดใหญ่ด้านพลังงานทางเลือก การเกษตร และเคมี ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพต้องไปทำงานกับบริษัทขนาดใหญ่ รวมถึงการสร้างโอกาสให้นวัตกรรมไม่กระจุกตัวอยู่แค่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร หรือบริษัทใหญ่ ๆ เป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะจะช่วยลดปัญหาเรื่องของความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่ได้ และบริษัทด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมควรจะเพิ่มขึ้นในฐานะของการเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมในเมืองไทยอีกด้วย”


ดร.พันธุ์อาจ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการเพิ่มและการสร้างบริษัทด้านนวัตกรรมให้เพิ่มขึ้นในประเทศไทยแล้ว ในเร็ว ๆ นี้จะมีการเปลี่ยนแปลงภายใต้วาระของผู้นำคนใหม่ ซึ่งควรมี “การวางนโยบายด้านนวัตกรรมของประเทศ” ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เนื่องจากจะเห็นได้ว่ากลุ่มประเทศที่เป็นสายแข็งในด้านเทคโนโลยี - นวัตกรรม ล้วนมีแผนจากรัฐบาลที่ชัดเจนว่าจะผลักดันอะไรของประเทศให้เป็นที่จดจำ สร้างมูลค่า จนไปถึงการเป็นแบรนด์ของประเทศให้เป็นที่รับรู้ของชาวโลก ซึ่งการมีแผนที่ชัดเจนยังเพื่อส่งต่อไปยังหน่วยงานที่มีบทบาทส่งเสริมระบบนวัตกรรม ธุรกิจนวัตกรรม กลุ่มคนที่มีความสามารถให้ขับเคลื่อนแผน – แนวปฏิบัติได้อย่างตรงจุด รวมถึงเกิดประโยชน์ต่อประชาชนในการนำแนวคิดไปพัฒนาธุรกิจ ทักษะความสามารถ และสะท้อนความสำเร็จกลับมาสู่รัฐในฐานะผู้วางนโยบายได้อีกด้วย


“NIA เห็นความสำคัญของการนำนโยบายด้านนวัตกรรมมาร่วมขับเคลื่อนประเทศ จึงร่วมกับสถาบันเอเชียศึกษา และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดพื้นที่ให้ตัวแทนจากพรรคการเมืองได้ร่วมนำเสนอนโยบายนวัตกรรมสู่การขับเคลื่อนประเทศด้วยมิติการเมืองใหม่ พร้อมโชว์วิสัยทัศน์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ – สังคมของประเทศไทยด้วยนวัตกรรมเป็นครั้งแรกของประเทศไทย เพราะ NIA มองว่า การขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวสู่เป้าหมายประเทศนวัตกรรมจะสำเร็จได้นั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ เอกชน และการเมืองเป็นสำคัญ โดยวาระสำคัญที่ต้องการพรรคการเมืองได้นำเสนอแนวทางคือ

1) นโยบายเร่งด่วนด้านนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาประเทศใน 4 ปีข้างหน้า 2) นโยบายการส่งเสริมและพัฒนา 3S (SMEs – Startup – SE) โดยอาศัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม พร้อมทั้งการกระจายโอกาสทางนวัตกรรมไปสู่ระดับพื้นที่ 3) นโยบายการพัฒนาเชิงพื้นที่และเมือง เพื่อสร้างอัตลักษณ์นวัตกรรมและดึงดูดการลงทุนและนวัตกร รวมถึงโอกาสการกระจายความเจริญระดับเมืองสู่ภูมิภาค (**กรุงเทพฯ ติดอันดับ 145 ของเมืองนวัตกรรมโลก) 4) นโยบายนวัตกรรมกับการแก้ไขปัญหาประเทศ: ความสามารถในการแข่งขัน - คอรัปชัน – การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะปัญหาค่าบริการสาธารณูปโภคที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน และ 5) การสร้งความรู้ ความเช้าใจ และการรับรู้ให้ประชาชนมองว่านวัตกรรมเป็นเรื่องใกล้ตัวและเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาประเทศ




ดร.พันธุ์อาจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวาระเร่งด่วนของประเทศไทย NIA ยังคงมองประเด็นการส่งเสริมนวัตกรรมภายใต้โมเดล 3C คือ Competitiveness ซึ่งเป็นการส่งเสริมความสามารถทางการแข่งขันของบริษัทนวัตกรรมให้มีมากขึ้น เพราะบริษัทที่แข่งขันได้ล้วนเป็นอุตสาหกรรมที่ส่วนใหญ่เติบโตในระดับโลกหมดแล้ว มีจำนวนไม่มาก และอาจยังไม่สามารถสะท้อนความเป็นชาติแห่งนวัตกรรมของไทยได้มากนัก จึงต้องเร่งสร้างแบรนด์นวัตกรรมไทยระดับโลกโดยบริษัทขนาดใหญ่ ส่งเสริมอุตสาหกรรมอนาคต เพื่อการเติบโตระยะยาว รวมถึงเสริมสร้างการสร้างงานนวัตกรรมและเจ้าของกิจการรุ่นใหม่ ส่วนต่อมาคือ Corruption หมายถึง การแสดงออกถึงความโปร่งใส ควรมีนวัตกรรมที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการทำงานของรัฐได้หลายรูปแบบ โดยเฉพาะนวัตกรรมการเงินและงบประมาณภาครัฐ นวัตกรรมตรวจสอบและระบบยุติธรรมภาครัฐ เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพและก้าวไปในทิศทางที่ดีขึ้น และส่วนสุดท้ายคือ Climate Change ซึ่งเป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ขยะ ฝุ่น PM 2.5 รถติด การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ตามเจตนารมณ์โลก ซึ่งเหล่านี้ผู้นำและผู้กำหนดนโยบายล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น