วรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย พร้อมด้วย บาส ฟรานเซน ผู้ก่อตั้งและกรรมผู้จัดการใหญ่ EcoMatcher ร่วมฉลองก้าวแรกของความสำเร็จในโครงการ “ชดเชยคาร์บอน” ที่ส่งเสริมให้ผู้ใช้บริการร่วมบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการปลูกต้นไม้ ซึ่งช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนในทุกครั้งที่เดินทางหรือทุกการสั่งอาหารผ่านแกร็บ โดยในปีที่ผ่านมาสามารถปลูกต้นไม้ไปแล้วกว่า 50,000 ต้นในจังหวัดกระบี่และแม่ฮ่องสอน
แกร็บ ผู้นำซูเปอร์แอปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอกย้ำพันธกิจในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคม และการส่งเสริมในด้านสิ่งแวดล้อม เผย รายงานความยั่งยืนประจำปี 2565 (ESG Report 2022) ที่รวบรวมผลการดำเนินงานต่างๆ ที่แกร็บได้สร้างผลกระทบเชิงบวกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยครอบคลุม 3 ไฮไลท์หลัก ได้แก่ การยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับพาร์ทเนอร์ การพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยบนแพลตฟอร์ม และ การเดินหน้าพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมฉลองผลตอบรับที่ดีของโครงการ “ชดเชยคาร์บอน” ซึ่ง แกร็บ ประเทศไทย ร่วมกับองค์กร EcoMatcher และ Conserve Natural Forests (CNF) ปลูกต้นไม้เพื่อดูดซับคาร์บอนไปแล้วกว่า 50,000 ต้นจากการมีส่วนร่วมของผู้ใช้บริการผ่านฟีเจอร์ Carbon Offset ตลอดปีที่ผ่านมา รวมทั้งยังได้ชวนพนักงานร่วมกิจกรรม Grab Go Green เพื่อเรียนรู้ความหลากหลายทางชีวภาพ และสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก
วรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีของการดำเนินธุรกิจ แกร็บมุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีและใช้แพลตฟอร์มของเรามาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเราเชื่อว่าการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้นั้น จะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนในสังคม และการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งในปีที่ผ่านมา แกร็บทั่วทั้งภูมิภาคได้พัฒนาการทำงานในหลายส่วนโดยมุ่งผลักดันใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การสร้างโอกาสทางรายได้ให้กับของพาร์ทเนอร์ การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยบนแพลตฟอร์ม และการส่งเสริมประเด็นในด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งถูกรวบรวมไว้ในรายงานความยั่งยืนฉบับล่าสุด”
สำหรับรายงานความยั่งยืนของแกร็บประจำปี 2565 ได้นำเสนอภาพรวมของการดำเนินงานที่ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีไฮไลท์สำคัญ คือ
การยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับพาร์ทเนอร์ (Building Sustainable Partner Livelihoods):
การพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยบนแพลตฟอร์ม (Ensuring a Safe & Trusted Platform):
การส่งเสริมและดูแลสิ่งแวดล้อม (Fostering a Lasting Planet):
สำหรับในประเทศไทย นอกเหนือจากการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในกลุ่มพาร์ทเนอร์คนขับ และการพัฒนาฟีเจอร์เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้บริการงดรับช้อนส้อมพลาสติก อีกหนึ่งกิจกรรมที่ริเริ่มขึ้นช่วยลดผลกระทบในด้านสิ่งแวดล้อม คือการเปิดตัว “ฟีเจอร์ Carbon Offset” ในปี 2564 โดยได้เชิญชวนให้ผู้ใช้บริการมีส่วนร่วมในการชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนเมื่อใช้บริการต่างๆ ของแกร็บ ผ่านการบริจาคเงินจำนวน 2 บาทต่อเที่ยวการเดินทางด้วยรถยนต์ หรือ 1 บาทต่อเที่ยวการเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ หรือการใช้บริการเดลิเวอรี เพื่อสมทบเข้าโครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าไม้ในประเทศไทย ซึ่งดำเนินการโดย Conserve Natural Forests (CNF) องค์กรไม่แสวงหากำไรในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่มีภารกิจหลักในการฟื้นฟูภูมิทัศน์ป่าธรรมชาติในประเทศไทย และ EcoMatcher แพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถติดตามการเติบโตของต้นไม้ หรือดูข้อมูลต่างๆ ของต้นไม้ที่ตนเองร่วมบริจาคได้ โดยโครงการนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้บริการเป็นอย่างมาก จนทำให้ในปีที่ผ่านมา สามารถปลูกต้นไม้เพื่อช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนในประเทศไทยไปแล้วกว่า 50,000 ต้นในจังหวัดกระบี่ และแม่ฮ่องสอน ทั้งยังเป็นการช่วยเหลือคนในพื้นที่กว่า 51 ครอบครัว
“และเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลกที่ผ่านมา เรายังได้จัดกิจกรรม Grab Go Green เพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้คนในองค์กร ด้วยการเชิญชวนพนักงานแกร็บมาร่วมเรียนรู้ถึงความหลากหลายทางชีวภาพ พร้อมร่วมกิจกรรมเพาะกล้าและปลูกต้นไม้ และปั้น EM ball ซึ่งช่วยบำบัดน้ำเสียในชุมชน สร้างความสมบูรณ์ให้กลับคืนสู่ธรรมชาติ ณ หมู่บ้านหิ่งห้อย บางกระสอบ จังหวัดสมุทรปราการ” นายวรฉัตร ปิดท้าย
วรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย และครอบครัวร่วมปลูกต้นไม้ในกิจกรรม Grab Go Green
พนมกร จิระเสถียรพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด แกร็บ ประเทศไทย ร่วมปั้น EM Ball ในกิจกรรม Grab Go Green
พนักงานแกร็บร่วมเพาะชำต้นจากในกิจกรรม Grab Go Green
พนักงานแกร็บร่วมปั้น EM Ball ในกิจกรรม Grab Go Green