บมจ. ทรู
คอร์ปอเรชั่น รายงานทิศทางรายได้การให้บริการดีต่อเนื่อง
ส่งสัญญาณเชิงบวกจากแรงหนุนรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้ (ARPU) ที่ค่อย ๆ
ปรับตัวดีขึ้นและยอดผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้น
พร้อมความสำเร็จจากการผสานพลังที่เห็นผลอย่างรวดเร็วจากการควบรวมและมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพ
ส่งผลให้ EBITDA
เพิ่มขึ้น 14.7% จากไตรมาสก่อน
มนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น มีทิศทางผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาจากการเติบโตของจำนวนผู้ใช้บริการ และการผสานความแข็งแกร่งในการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดของดีแทคและทรู โดยหลังจากควบรวมกันมา 4 เดือน เรายินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่าการดำเนินการตามแผนการควบรวมยังเป็นไปตามแผนงาน พร้อมทั้งเราได้เริ่มทยอยรับรู้ผลประโยชน์แบบรวดเร็วจากการควบรวม อีกทั้งการพัฒนาของเศรษฐกิจมีทิศทางเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจ ในขณะที่การแข่งขันในตลาดทรงตัวในไตรมาสที่ 2/2566”
ทรู คอร์ปอเรชั่นได้เสร็จสิ้นกระบวนการคัดเลือกพันธมิตรซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลก และประสบความสำเร็จในการแต่งตั้งผู้ดำเนินการแผนรวมโครงข่าย
(RFP) นอกจากนี้ บริษัทยังได้ประโยชน์ในการประหยัดต่อขนาดที่มากขึ้น
(Larger Economies of Scale)
ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพของการลงทุนและประหยัดได้ประมาณ 3 พันล้านบาทภายหลังจากการควบรวมกิจการ
ลูกค้าของแบรนด์ดีแทค และทรูได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นจากกลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย
ซึ่งนำไปสู่การเติบโตของการขายสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวเนื่อง (cross-selling) ในแต่ละเดือน โดยการให้บริการครอบคลุมระบบนิเวศของโซลูชั่นทำให้ลูกค้าภักดีอยู่กับแบรนด์เพิ่มขึ้น
(Customer Loyalty) เพิ่มโอกาสในการรับรู้รายได้ ทั้งนี้
ข้อมูลไตรมาสที่ 2/2566 มียอดผู้ใช้งานมากกว่า 29 ล้านรายได้รับประโยชน์จากความหลากหลายของคลื่นความถี่
เครือข่ายที่กว้างขึ้น
และได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นจากการใช้บริการข้ามโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายในประเทศ
ทั้งนี้ จากการพัฒนาเครือข่ายดังกล่าว ผู้ใช้แบรนด์ดีแทคได้ใช้บริการ 5G เร็วขึ้น 2.3 เท่า และมีการใช้งาน 5G สูงขึ้น 12%
ทรู ดิจิทัล โซลูชัน ได้นำเสนอโซลูชันและบริการต่างๆ ผ่านการขยายผลิตภัณฑ์และบริการไปยังฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นทั้งลูกค้า
B2B และ B2C โดยทรู ดิจิทัล โซลูชัน ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก
ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับกลุ่มไชน่า โมบายล์ อินเตอร์เนชั่นแนล
เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มอัจฉริยะระดับโลก ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อระหว่างเซ็นเซอร์
อุปกรณ์อัจฉริยะ เครื่องจักร การสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ (Machine-to-Machine – M2M) บนเครือข่ายทรู 5G อย่างไร้รอยต่อเพื่อยกระดับภาคอุตสาหกรรม
ชารัด เมห์โรทรา
รองประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ดีแทคและทรูเป็นแบรนด์ผู้ให้บริการมือถือที่แข็งแกร่ง โดยยังคงเป็นผู้นำในการให้บริการซิมสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวและแรงงานต่างด้าว
ซึ่งออกแบบการให้บริการโดยเฉพาะสำหรับกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งการนำเสนอคอนเทนท์ ความบันเทิง
และการใช้งานโซเชียลมีเดีย พร้อมกับข้อเสนอต่างๆ ที่น่าสนใจ ทั้งนี้ ยอดการทำธุรกรรมภายใต้โปรแกรมสิทธิพิเศษเพิ่มขึ้น
17% เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา
ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากแนวคิดชีวิตดีกว่า เมื่อมีกันและกัน (Better
Together) ส่งผลให้การรักษาลูกค้ากลุ่มที่ใช้บริการแพ็คเกจที่มีอัตราค่าบริการในระดับสูง
(high-tier) เพิ่มขึ้น 9% เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา
โดยไตรมาส 2/2566 ทรู คอร์ปอเรชั่นมีฐานผู้ใช้งานดิจิทัลสูงถึงประมาณ
14 ล้านราย”
ในช่วงไตรมาสที่ 2
ผู้ใช้บริการมือถือเพิ่มขึ้น 659,000 หมายเลข ทำให้มียอดลูกค้ามือถือจำนวนรวมทั้งสิ้น
51.1 ล้านหมายเลข โดยเพิ่มขึ้น
1.3% จากไตรมาสที่ผ่านมา
ผู้ใช้งาน 5G มีจำนวนถึง 8.3 ล้านคน เพิ่มขึ้น 32% จากไตรมาสที่ 1/2566 โดยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในด้านการใช้งานและการเพิ่มขึ้นของ
ARPU 10-15% โดยสาเหตุหลักมาจากการจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารพร้อมบริการ
โดยสิ้นไตรมาส 2/2566 การให้บริการ 4G ครอบคลุม 99% ของประชากร และ 5G ครอบคลุม 90% ของประชากร ตามลำดับ
สถานการณ์ทางเศรษฐกิจดีขึ้นจากแนวโน้มนักท่องเที่ยวและแรงงานต่างด้าวที่เริ่มกลับมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยส่งเสริมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ พร้อมกับอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงและอัตราค่าไฟฟ้าที่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า การแข่งขันในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมยังคงทรงตัวในไตรมาสที่ 2 โดยมีการลดลงของการให้ส่วนลดและการเพิ่มคุณค่าสินค้าและการบริการให้แก่ลูกค้าที่เป็นประโยชน์และสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกค้า ทรู คอร์ปอเรชั่นจะยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ โดยการผสานความแข็งแกร่งในการดำเนินกิจกรรมทางการตลาด การดำเนินการตามแผนการควบรวม และการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม เพื่อส่งมอบคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเรา
นกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “สำหรับไตรมาส 2/2566 มีทิศทางดีขึ้นโดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง และรายได้จากการให้บริการที่เพิ่มขึ้น พร้อมประโยชน์จากการลดค่าใช้จ่ายตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพและการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยส่งผลดีต่อการเพิ่มจำนวนฐานลูกค้าระบบเติมเงินของเรา ตอกย้ำความแข็งแกร่งของแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ากลุ่มนักท่องเที่ยวและแรงงานต่างด้าวมากที่สุดในประเทศ นอกจากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงและอัตราค่าไฟฟ้าที่ลดลงแล้ว ทรู คอร์ปอเรชั่นยังคงมุ่งเน้นที่การเติบโตอย่างมีกำไร ซึ่งนำไปสู่ EBITDA ที่สูงขึ้นและอัตรากำไรที่ดีในไตรมาสนี้
การเติบโตของรายได้จากการให้บริการธุรกิจมือถือและบรอดแบนด์ ส่งผลให้มีการเติบโตของรายได้จากการให้บริการรวมเพิ่มขึ้น
1.1% เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา
(QoQ) โดยรายได้จากบริการมือถือเพิ่มขึ้น 0.8% (QoQ) จากจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและการฟื้นตัวของ
ARPU รายได้จากบริการบรอดแบนด์เพิ่มขึ้น
3.2% (QoQ) โดยได้แรงหนุนจาก ARPU ที่เพิ่มขึ้นจากการปรับตัวของการแข่งขันในตลาด
โดยมุ่งเน้นการเพิ่มคุณภาพของการได้มาซึ่งผู้ใช้งานใหม่ และการเพิ่มโอกาสจากการขายพ่วงหลังจากการรวมธุรกิจ
รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ลดลง 28.5% (QoQ) เนื่องจากยอดขายที่ลดลงตามฤดูกาล
ส่งผลให้รายได้รวมลดลง 4.6% (QoQ)
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
(OPEX) ทั้งหมด
ไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (D&A) ลดลง 16.7% เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา
(QoQ) จากมาตรการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง และการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมในระยะสั้น
ในส่วน EBITDA สำหรับไตรมาสนี้ดีขึ้น 14.7% โดยเป็นผลจากรายได้จากการให้บริการที่เพิ่มขึ้น การลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
(OPEX) และผลกระทบเชิงบวกสุทธิจากการกลับรายการตั้งสำรองเนื่องมาจากการยุติข้อพิพาทในไตรมาส
1/2566 รายงานผลขาดทุนสุทธิหลังหักภาษีจำนวน
2,320 ล้านบาท ซึ่งได้รับผลกระทบจากผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (one-time effect) จากการกลับรายการสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีของผลขาดทุนยกมาของ
บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด หรือ DTN เนื่องจากความเป็นไปได้ในการปรับโครงสร้างธุรกิจภายใต้กลุ่มบริษัท
และค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์จากการควบรวม (Integration cost) จำนวนประมาณ 250 ล้านบาท โดยขาดทุนสุทธิยังได้รับผลกระทบจากค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่สูงขึ้นจากการขยายโครงข่าย
CAPEX สำหรับไตรมาส 2/2566 จำนวน 3,435 ล้านบาท ได้รับประโยชน์จากประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นภายหลังจากการควบรวม
สำหรับการคาดการณ์ในปี 2566 บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ปรับปรุงแนวโน้มสำหรับปี 2566 ซึ่งคิดเป็นระยะเวลา 10 เดือนของการดำเนินงานนับจากวันที่ควบรวมกิจการเสร็จสิ้น โดยคาดว่า EBITDA จะมีการเติบโตที่เป็นตัวเลขหลักเดียวในระดับต่ำ-ปานกลาง (low-to-mid single digit) ในขณะที่ยังคงแนวโน้มที่ทรงตัวสำหรับรายได้จากการให้บริการไม่รวมรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) ทั้งนี้ เงินลงทุน หรือ CAPEX ประมาณการณ์ไว้ที่ 25,000 – 30,000 ล้านบาท ตามที่เคยประกาศไว้
ตัวเลขสำคัญทางการเงินในไตรมาส
2
ปี 2566 (ตามงบการเงินเสมือน)
· รายได้จากบริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) จำนวน 39,431 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.1% (QoQ)
·
EBITDA อยู่ที่
22,320 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.7% (QoQ)
·
อัตรากำไร EBITDA (เมื่อเทียบกับรายได้รวม)
อยู่ที่ 45.4%
·
ขาดทุนสุทธิ จำนวน 2,320 ล้านบาท