20 ก.ย. 2566 2,734 7

ดีป้า เผยอุตฯ ดิจิทัลไทย ปี 2565 โต 14% มูลค่ารวมแตะ 2.61 ล้านล้านบาท กลุ่มบริการดิจิทัลขยายตัวสูงสุด สร้างรายได้กว่า 2.8 แสนล้านบาท

ดีป้า เผยอุตฯ ดิจิทัลไทย ปี 2565 โต 14% มูลค่ารวมแตะ 2.61 ล้านล้านบาท กลุ่มบริการดิจิทัลขยายตัวสูงสุด สร้างรายได้กว่า 2.8 แสนล้านบาท

ดีป้า ร่วมกับ สถาบันไอเอ็มซี เผยผลสำรวจข้อมูลและประเมินสถานภาพอุตสาหกรรมดิจิทัล ประจำปี 2565 และคาดการณ์แนวโน้ม 3 ปี ระบุภาพรวมอุตสาหกรรมดิจิทัลไทยปี 2565 เติบโต 14% มีมูลค่ารวม 2,614,109 ล้านบาท โดยอุตสาหกรรมที่ขยายตัวสูงที่สุดคือ อุตสาหกรรมบริการดิจิทัล ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มต่าง ๆ เติบโตขึ้นจากปีก่อนถึง 21% มีมูลค่า 281,515 ล้านบาท รองลงมาคืออุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ที่เติบโต 19% มีมูลค่า 190,766 ล้านบาท อุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อัจฉริยะ เติบโต 18% มีมูลค่า 1,431,980 ล้านบาท พร้อมคาดการณ์โตต่อเนื่องถึงปี 2568


สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า และ สถาบันไอเอ็มซี แถลงผลสำรวจข้อมูลและประเมินสถานภาพอุตสาหกรรมดิจิทัล ประจำปี 2565 ใน 5 อุตสาหกรรมหลัก ประกอบด้วย อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ (Software) อุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อัจฉริยะ (Hardware and Smart Devices) อุตสาหกรรมบริการดิจิทัล (Digital Services) อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ (Digital Content) และอุตสาหกรรมสื่อสาร (Telecommunication) และคาดการณ์แนวโน้ม 3 ปี ณ อาคารดีป้า ลาดพร้าว


ดร.กษิติธร ภูภราดัย รองผู้อำนวยการใหญ่ กลุ่มงานยุทธศาสตร์และความมั่นคง ดีป้า เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมดิจิทัลไทยปี 2565 ซึ่งประกอบด้วย 5 อุตสาหกรรมหลักคือ อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ (Software) อุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อัจฉริยะ (Hardware and Smart Devices) อุตสาหกรรมบริการดิจิทัล (Digital Services) อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ (Digital Content) และอุตสาหกรรมสื่อสาร(Telecommunication) มีมูลค่ารวม 2,614,109 ล้านบาท ขยายตัวจากปีก่อนหน้าเฉลี่ย 14% โดยมีอัตราการเติบโตอย่างมากในทุกอุตสาหกรรม โดยอุตสาหกรรมที่ขยายตัวสูงที่สุดคือ อุตสาหกรรมบริการดิจิทัล โดยเฉพาะ FinTech และ Health Tech ซึ่งเป็นไปตามเทรนด์ของโลก

มูลค่าซอฟต์แวร์โต 19% นำเข้ายังสูงกว่าส่งออก 


ภาพรวมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์ ปี 2565 มีมูลค่ารวม 190,766 ล้านบาท เติบโต 19% ขณะที่การส่งออกมีมูลค่า 2,453 ล้านบาท เติบโต 9% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 49,568 ล้านบาท เติบโต 23% จากการสำรวจฐานข้อมูล 13,013 บริษัท ซึ่งดำเนินธุรกิจต่าง ๆ อาทิ การจัดทำซอฟต์แวร์สำเร็จรูป การจัดทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตามวัตถุประสงค์ของผู้ใช้งานบริการเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์อื่น ๆ การบริหารจัดการประมวลผลข้อมูล ฯลฯ

สำหรับมูลค่าซอฟต์แวร์มีมูลค่ารวม 78,043 ล้านบาท เติบโต 18% แบ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งในเครื่อง (On-Premise) มูลค่า 47,549 ล้านบาท และซอฟต์แวร์เช่าใช้ (Cloud/SaaS) มูลค่า 30,494 ล้านบาท ส่วนบริการซอฟต์แวร์ที่ประกอบด้วย ประเภทผู้ติดตั้งระบบ (System Integrator) ประเภทบำรุงรักษาซอฟต์แวร์ (Software Maintenance) ประเภทปรับแต่งซอฟต์แวร์ (Software Customization) และประเภทฝึกอบรมและที่ปรึกษา (Consult/Training) มีมูลค่ารวม 112,723 ล้านบาท เติบโต 19% โดยประเภทปรับแต่งซอฟต์แวร์มีมูลค่าสูงที่สุด คือ 33,802 ล้านบาท รองลงมาเป็นประเภทบำรุงรักษาซอฟต์แวร์มีมูลค่า 31,073 ล้านบาท และประเภทผู้ติดตั้งระบบมีมูลค่า 27,090 ล้านบาท

เมื่อพิจารณาจากความต้องการซอฟต์แวร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศยังคาดว่า อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องระหว่างปี 2566-2568 จากมูลค่า 218,999 ล้านบาท เป็น 241,775 ล้านบาท และ 265,469 ล้านบาทตามลำดับ 

ตลาดฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อัจฉริยะขยายตัวตามไลฟ์สไตล์สังคมเมือง


ปี 2565 อุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อัจฉริยะ ซึ่งแบ่งตามสินค้าและอุปกรณ์ 6 ประเภท ได้แก่ คอมพิวเตอร์ (Computer) อุปกรณ์ต่อพ่วง (Peripheral) เครื่องพิมพ์ (Printer) อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล (Storage) อุปกรณ์อัจฉริยะ (Smart Devices) และ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Robot and Automation) มีมูลค่า 1,431,980 ล้านบาท เติบโต 18% โดยแบ่งเป็นมูลค่าการนำเข้า 438,508 ล้านบาท เติบโต 13% มูลค่าส่งออก 993,472 ล้านบาท เติบโต 19% 

โดยประเภทของสินค้าและอุปกรณ์ที่มีอัตราการเติบโตที่โดดเด่นคือ อุปกรณ์อัจฉริยะ (Smart Devices) และหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Robot and Automation) มีมูลค่ารวมของทั้งสองอุตสาหกรรมอยู่ที่ 419,989 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า อุปกรณ์อัจฉริยะเริ่มเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของคนไทยในสังคมดิจิทัลมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังคาดการณ์ว่า แม้มูลค่าอุตสาหกรรมปี 2566 อาจจะขยายตัวไม่มาก โดยจะอยู่ที่ 1,472,075 ล้านบาท แต่ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเติบโตถึง 1,744,409 ล้านบาทในปี 2567 และ 2,065,381 ล้านบาท ในปี 2568 

บริการด้านดิจิทัลโตแรงตอบรับเมกะเทรนด์


อุตสาหกรรมบริการดิจิทัลปี 2565 มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 281,515 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปี 2564 ถึง 21% โดยอุตสาหกรรมบริการดิจิทัลแบ่งออกเป็น 8 ประเภท ได้แก่ 1. ค้าปลีก (e-Retail) มีมูลค่าอุตสาหกรรม 78,290 ล้านบาท เติบโต 28% 2. ขนส่ง (e-Logistics) มีมูลค่าอุตสาหกรรม 83,472 ล้านบาท เติบโต 19% 3. ท่องเที่ยว (e-Tourism) มีมูลค่าอุตสาหกรรม 10,239 ล้านบาท เติบโต 21% 4. สื่อออนไลน์ (Online Media) มีมูลค่าอุตสาหกรรม 42,911 ล้านบาท เติบโต 19% 5. ผู้ให้บริการโฆษณาออนไลน์ (e-Advertise) มีมูลค่าอุตสาหกรรม 22,119 ล้านบาท เติบโต 7% 6. ผู้ให้บริการเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) มีมูลค่าอุตสาหกรรม 42,541 ล้านบาท เติบโต 22% 7. ผู้ให้บริการเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ (Health Tech) มีมูลค่าอุตสาหกรรม 742 ล้านบาท เติบโต 65% และ 8. ผู้ให้บริการเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (EdTech) มีมูลค่าอุตสาหกรรม 1,201 ล้านบาท เติบโตลดลง 2%

ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า อุตสาหกรรม Health Tech แม้จะยังมีมูลค่าไม่สูง แต่มีอัตราการเติบโตที่น่าสนใจ ตอบรับเมกะเทรนด์ที่ผู้คนให้ความใส่ใจในการดูแลสุขภาพของตนเองมากขึ้น ทำให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมบริการดิจิทัลเติบโตต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 454,628 ล้านบาท ในปี 2568


ด้าน รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการสถาบันไอเอ็มซี กล่าวว่า การสำรวจในครั้งนี้มีการวัดมูลค่าของอุตสาหกรรมบิ๊กดาต้าและปัญญาประดิษฐ์ด้วย แต่เป็นมูลค่าที่ผสานรวมอยู่ในอุตสาหกรรมย่อยของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ และอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์ จากการคำนวณมูลค่ารายได้ของอุตสาหกรรมจำนวน 213 บริษัทพบว่า อุตสาหกรรมบิ๊กดาต้าและปัญญาประดิษฐ์ ปี 2565 มีมูลค่า 25,471 ล้านบาท เติบโต 15% 

การสำรวจแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ 1. ส่วนฮาร์ดแวร์ มีมูลค่า 3,648 ล้านบาท เติบโต 20% 2. ส่วนซอฟต์แวร์ มีมูลค่า 6,717 ล้านบาท เติบโต 20% 3. ส่วนงานบริการ มีมูลค่า 15,059 ล้านบาท เติบโต 12% โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดของอุตสาหกรรมดิจิทัลและธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่า ทุกภาคส่วนมุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล หรือ Digital Transformation ขณะที่เทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง AI, IoT, Blockchain ตลอดจน Web 3.0 และ Quantum Computing จะมีส่วนกระตุ้นให้อุตสาหกรรมเติบโตยิ่งขึ้น 


นอกจากนี้ ในงานแถลงผลสำรวจข้อมูลและประเมินสถานภาพอุตสาหกรรมดิจิทัล ประจำปี 2565 ยังมีช่วงของการเสวนาในหัวข้อ ‘โอกาส ความท้าทาย และการปรับตัวของอุตสาหกรรมดิจิทัลไทย’ ซึ่งผู้แทนจากสภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย ได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรมดิจิทัลไทยว่า ควรต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้เทคโนโลยีและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสามารถเติบโตไปพร้อมกัน รวมทั้งการมองอนาคตถึงเมกะเทรนด์ต่าง ๆ ที่จะเข้ามามีผลต่อชีวิตประจำวันและการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม เพราะปัจจุบันการเติบโตของกำลังคนในอุตสาหกรรมดิจิทัลยังไม่สูงนัก ซึ่ง ดีป้า และพันธมิตรพร้อมที่จะผลักดันอุตสาหกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมนโยบายรัฐบาลในการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน

สำหรับข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติม https://www.depa.or.th/th/article-view/press-conference-digital-industry-2022