ด้วยจำนวนประชากรโลกในปัจจุบันมากกว่า 50% เป็นกลุ่มที่เติบโตมาในยุคดิจิทัล (Digital Native) เราจึงได้เห็นภาพการเคลื่อนตัวของโลกเสมือน (เมตาเวิร์ส) เข้ามาทับซ้อนกับโลกจริงอย่างเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งพัฒนาการของ Web 3.0 ซึ่งเปิดประตูสู่ประสบการณ์ใหม่ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต สามารถรับผลตอบแทน (Earn) จากการทำกิจกรรมบนแพลตฟอร์ม และจุดเด่นของ Blockchain หนุนให้เกิดแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์แบบกระจายศูนย์ (Decentralized Social Network) ที่จะเพิ่มความปลอดภัยและความโปร่งใสในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล มอบสิทธิ์ความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัลและข้อมูลให้กับผู้ใช้งานอย่างแท้จริง ผลกระทบที่ตามมาก็คือ โลกเสมือนจริง (Metaverse) ขยายตัวขึ้น มีประชากรดิจิทัลจำนวนมากเข้าไปทำกิจกรรรมต่างๆ เกิดโมเดลธุรกิจใหม่ๆ แบรนด์มากมายเข้าไปปักธงจับจองพื้นที่ธุรกิจและการตลาด เพื่อเกาะติดและสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) กับลูกค้าเป้าหมายบนโลกเสมือน
ปลดล็อค Brand Value บนโลกเสมือน
มร.เซบาสเตียน บอร์เกต (Mr.Sebastien Borget) ผู้ร่วมก่อตั้ง และซีโอโอของ The Sandbox แพลตฟอร์มโลกเสมือนบนเทคโนโลยีบล็อกเชน ที่ผู้เข้าร่วมสามารถสร้างและเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัลรวมถึง NFT เและสามารถสร้างรายได้จากสินทรัพย์ดิจิทัลภายใน The Sandbox Metaverse กล่าวว่า จากรายงานของสหประชาชาติ “World Population Prospects 2021” ปัจจุบันมีชาวดิจิทัล ในสัดส่วนมากกว่า 50% ของประชากรโลกแล้ว และกลุ่มคนที่เติบโตมาในยุคดิจิทัล (Digital Native) เหล่านี้มีการบริโภคคอนเทนต์ดิจิทัล โดยเฉลี่ยมากกว่า 12 ชม./สัปดาห์ มากกว่าการดูทีวี หรืออ่านหนังสือพิมพ์
ขณะเดียวกัน มีผลสำรวจระบุว่า มากกว่า 75% ของกลุ่มคน Gen Z ไม่ได้อยากเป็นเพียงผู้บริโภคคอนเทนต์อีกต่อไป แต่ต้องการเป็นผู้สร้าง (Creator) คอนเทนต์ดิจิทัลเองด้วย เช่น ออกแบบตัวละคร (คาแรคเตอร์) ของตัวเองในเกม ที่จะเป็นตัวตนของตัวเองต่อไปในระยะยาวบนโลกออนไลน์ อีกทั้งประชากรกลุ่มนี้ ยังใช้จ่ายเงินไปกับคอนเทนต์ดิจิทัล และสินทรัพย์ดิจิทัล มากกว่าการซื้อสินทรัพย์ในโลกจริง โดยในปี 2565 มีมูลค่าการทำธุรกรรมผ่าน NFT (Non-fungible token) สูงถึง 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ จำนวนผู้ใช้งานแพลตฟอร์มบน Web 3.0 ได้ทะลุหลัก 100 ล้านคนไปแล้ว
เขาย้ำว่า เมตาเวิร์ส จึงเป็นโอกาสใหม่ของแบรนด์ต่างๆ ที่จะเข้าถึงและสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) ด้วยการสร้างพื้นที่แบบเปิด 24 ชั่วโมง เป็นแหล่งรวมแบรนด์ และความคิดสร้างสรรค์ เป็นช่องทางพบปะกับกลุ่มเป้าหมายหรือแฟนของแบรนด์ ทำกิจกรรมร่วมกัน เล่นเกม เชื่อมต่อแบรนด์ในประเทศไทย และคอนเทนต์ที่สร้างโดยผู้ใช้งานที่อยู่ในเมตาเวิร์สของ Sandbox ซึ่งได้จัดเตรียมระบบนิเวศทางธุรกิจ (Ecosystem) จากเครือข่ายพันธมิตรหลากหลายวงการทั่วโลกไว้พร้อมแล้ว อีกทั้งจะขยายต่อเนื่อง รองรับเป้าหมายสูงสุดคือ การเพิ่มศักยภาพให้กับครีเอเตอร์ ในการสร้างประสบการณ์รูปแบบใหม่ผ่านโลกเสมือนจริงบนโซเชียล (Social Immersive) ที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นเจ้าของสินทรัพย์/คอนเทนต์ดิจิทัลอย่างแท้จริง
ปัจจุบัน แพลตฟอร์มเมตาเวิร์สของ The Sandbox มีผู้ใช้งานมากกว่า 5 ล้านบัญชี ครอบคลุม 150 ประเทศทั่วโลก และมีระบบนิเวศทางธุรกิจ ประกอบด้วย พันธมิตรระดับโลกจากวงการต่างๆ กว่า 700 ราย เป็นแหล่งรวมคอนเทนต์และแบรนด์ระดับโลกรวมทั้งของไทยกว่า 400 แบรนด์ ครอบคลุม แฟชั่น กีฬา เกม เพลง บันเทิง การเงิน-การธนาคาร การศึกษา ช้อปปิ้ง เป็นต้น เอเยนซี่มากกว่า 200 ราย สตูดิโอเกมกว่า 100 ค่าย รวมถึงสถาบันการศึกษา และพันธมิตรด้านเทคโนโลยี
“The Sandbox ทำให้คนสามารถสร้างอัตลักษณ์ของตัวเองขึ้นมาได้ เสมือนเลโก้ จะอยู่ที่ไหน หรือไม่ว่าใคร ก็สามารถสร้างคอนเทนต์ขึ้นมา โดยที่ไม่ต้องใช้เวลามาก” มร.เซบาสเตียนกล่าว
ประเทศไทยติดท็อป 5 เอเชียบน Metaverse
มร.เซบาสเตียน กล่าวว่า 99% ของสิ่งที่อยู่บนเมตาเวิร์ส ถูกสร้างด้วยมือของผู้ใช้งาน และคอนเทนต์จากแบรนด์ต่างๆ ซึ่งจะนำวัฒนธรรมของแบรนด์เข้ามาในโลกเสมือนแห่งนี้ และเปิดให้ผู้ใช้งาน ผสมผสาน และสร้างให้เกิดคอนเทนต์ใหม่ๆ เพื่อประสบการณ์ใหม่จากการ Own, Build, Play, Meet and Earn ด้วยกันบนเทคโนโลยี Blockchain มีความโปร่งใสและเชื่อถือได้ ในการพิสูจน์ความเป็นเจ้าของ โดยออกแบบให้ อวาตาร์ เป็นตัวแทนตัวตนในการทำกิจกรรมต่างๆ (socialize) และเชื่อมต่อกับคนอื่นๆ ซึ่งเหล่านี้เป็นเสมือนการเตรียมพร้อมสิ่งที่จำเป็นในการสร้างรากฐานของเศรษฐกิจดิจิทัล ที่จะสามารถสร้างงานใหม่ให้กับอีกหลายล้านคน
ปัจจุบัน The Sandbox มีฐานผู้ใช้งาน ครีเอเตอร์ และแบรนด์พันธมิตรจากเอเชียราว 40% โดยประเทศไทย เป็นตลาดสำคัญ 1 ใน 10 อันดับแรกของโลก และติด 1 ใน 5 ของเอเชีย บริษัทจึงมองเห็นโอกาสอย่างมาก และเข้ามาเปิดสำนักงานในประเทศไทยแล้ว อีกทั้งที่ผ่านมา ได้เข้าไปช่วยแบรนด์ในประเทศไทยสร้างประสบการณ์ผ่านกิจกรรมบน Sandbox ได้แก่ ทำงานร่วมกับทีมของ SCB 10X ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของประเทศไทย ที่เข้ามาซื้อที่ดินตั้งสำนักงานใหญ่บนเมตาเวิร์สของ The Sandbox, ร่วมกับพันธมิตรสตูดิโอเกมในไทย ออกแบบเกมเล่นสงกรานต์เสมือนจริง มีผู้เข้าร่วมทั้งจากโลกจริง และเมตาเวิร์สรวมกว่า 22,300 คน ใช้เวลาเล่นเฉลี่ยต่อคน 23 นาที เป็นต้น
“สิ่งที่พบใน The Sandbox ก็คือ มีคนหลากหลายวิชาชีพเข้ามาอยู่ในโลกเสมือน ทั้งสถาปนิก นักออกแบบ บริษัทรับจัดงาน นักจัดการเนื้อหา และอื่นๆ ขณะที่หลายคนได้เข้ามาสร้างธุรกิจใหม่บนที่ดิน และ NFT ในโลกเสมือนแห่งนี้ จึงมองว่า ประเทศไทยอยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่น (Prime Positions) ที่จะเก็บเกี่ยวโอกาสจากตรงนี้ เราจึงได้เปิดตัวโครงการ The Sandbox Partner Program เพื่อนำจุดแข็งของเครือข่ายอีโคซิสเต็มที่มีอยู่ทั่วโลก เข้ามาเพิ่มทักษะให้กับเอเยนซี่ในประเทศไทยที่สนใจ ผ่านการเวิร์คชอป จัดอบรม จัดหาเครื่องมือ กรณีศึกษาต่างๆ ในการนำพาแบรนด์ลูกค้าขึ้นไปสู่พื้นที่บน Sandbox” มร.เซบาสเตียนกล่าว
ยกระดับสื่อสู่ Tokenized Media
มร. อเลจันโดร นาเวีย (Alejandro Navia) ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานของ NFT Now ของแพลตฟอร์มชั้นนำที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Web 3.0 กล่าวถึง อนาคตของสื่อ (Media) ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีกระแสหลักว่า จะมีตัวขับเคลื่อนสำคัญคือ Tokenized Media ในการให้ความมั่นใจด้านความน่าเชื่อถือ และการตรวจสอบความเที่ยงตรงของสื่อ (Media) ได้อย่างโปร่งใส เพื่อป้องกันการส่งข้อมูลที่คลาดเคลื่อน (Misinformation) จากข่าวออนไลน์ที่ถูกส่งออกไปจากสื่อสำนักต่างๆ ด้วยความไม่รู้ว่า ข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลปลอมที่เกิดจากปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งสามารถส่งผลกระทบให้กับธุรกิจสูญเสียเป็นมูลค่ามหาศาล
ในยุคที่สังคม “เชื่อถือ” สื่อ และอิทธิพลของสื่อ ทาง NFT Now จึงมองถึงการพัฒนาเครื่องมือช่วย “ตรวจสอบยืนยัน” ข้อเท็จจริง โดย Sovereignty Tokenized Media Product-Suit เพื่อช่วยให้ Digital Publishers ค่ายต่างๆ สามารถปลดล็อคข้อจำกัดในการเปลี่ยนผ่านไปสู่แพลตฟอร์มที่รองรับ Web 3.0 ได้อย่างยืดหยุ่น สามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้อย่างโปร่งใส เพิ่มความน่าเชื่อถือให้แบรนด์
ปัจจุบัน NFT Now มีผู้ใช้งานที่เป็น Unique Users มากกว่า 1 ล้านคน ใน 196 ประเทศ และเข้าถึงผู้ใช้งานแล้ว 3 ล้านคน อีกทั้งมีพันธมิตรจากแบรนด์ดังทั่วโลกกว่า 30 ราย ซึ่งรวมถึง คริสตี้ส์ สถาบันประมูลเก่าแก่
แบรนด์กีฬาและแฟชั่นระดับโลก เช่น ไนกี้ ลาคอสต์ รวมถึง SK Telecom และ LG ของเกาหลี เพราะพันธมิตรเหล่านี้เชื่อมั่นว่า โมเดลของแพลตฟอร์ม NFT Now จะตอบโจทย์ความต้องการ ในเรื่องการส่งมอบข้อมูลที่เป็น “ความจริง” และเชื่อถือได้ (Accountability) อีกทั้ง สามารถแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลที่เป็นสิทธิในครอบครอง เพิ่มมูลค่าต่อยอดสู่การสร้างแหล่งรายได้ใหม่ๆ ในรูปแบบ NFT
AI หนึ่งในฟีเจอร์ที่ต้องมีใน Business App
ทางด้าน มร. เบรนดอน แมทธีสัน (Brendon Matheson) Solution Area Specialist, App Innovation บริษัท ไมโครซอฟท์ กล่าวว่า ความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้กลายเป็นเครื่องมือปลดล็อคสู่การเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ปัจจุบัน Generative AI ที่มีความสามารถสร้างเนื้อหาขึ้นใหม่จากข้อมูลเดิมที่ถูกใส่เข้าไป ได้เข้ามามีบทบาทเป็นหนึ่งใน Business Application ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย สนับสนุนการปรับเปลี่ยนการทำธุรกิจสู่รูปแบบดิจิทัล
ทั้งนี้ ไมโครซอฟท์ ให้ความสำคัญกับแนวโน้มนี้มาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้พัฒนาร่วมกับ Open AI เพื่อนำ ChatGPT ซึ่งเป็นโปรแกรมเลียนแบบการสนทนาของมนุษย์ ไปติดตั้งในผลิตภัณฑ์ทุกตัวของไมโครซอฟท์ โดยปัจจุบันมีความสามารถรองรับได้มากกว่า 100 ภาษา เพราะมองว่าด้วยความสามารถที่โดดเด่นในการโต้ตอบบทสนทนา และการจดจำข้อมูลต่างๆ จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ และลูกค้าของไมโครซอฟท์ โดยนอกเหนือจากการให้ข้อมูลและตอบคำถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์แล้ว ยังช่วยเขียนอีเมล์โต้ตอบ ร่างเอกสาร ทำสไลด์ และสรุปการประชุมได้ และล่าสุดได้พัฒนาเวอร์ชั่นใหม่ ChatGPT0-4 เพิ่มขีดความสามารถในการประยุกต์ใช้ทางธุรกิจ
พร้อมกันนี้ เขายกตัวอย่างของประเทศไทยว่า กลุ่มธุรกิจใหญ่อย่าง สยามพิวรรธน์ ได้มีการประยุกต์ใช้ประโยชน์จาก Generative AI หนุนความสามารถของ ‘ONE SIAM’ Super App ให้รองรับการเข้าถึงธุรกรรม (Transaction) จากลูกค้าและพันธมิตรของสยามพิวรรธน์ได้บนแพลตฟอร์มเดียว