มีผลการดำเนินงานและศักยภาพในการทำกำไรที่แข็งแกร่ง สะท้อนความก้าวหน้าด้านการเติบโตของพอร์ตโฟลิโอ การขยายธุรกิจ B2B และการพัฒนาธุรกิจใหม่
แอลจี อีเลคทรอนิคส์ อิงค์ (แอลจี) ประกาศผลประกอบการรวมประจำไตรมาสที่ 3 ที่ 20.7 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 5.5 แสนล้านบาท) และมีผลกำไรจากการดำเนินงานที่ 996.7 พันล้านวอน (หรือประมาณ 2.65 หมื่นล้านบาท) ซึ่งถือเป็นผลประกอบการและผลกำไรประจำไตรมาสที่ 3 ที่สูงเป็นประวัติการณ์ในอับดับที่ 2 ของบริษัท โดยผลการดำเนินงานที่โดดเด่นมาจากทั้งธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านซึ่งเป็นธุรกิจหลักของแอลจี และโซลูชันยานยนต์ที่เป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านยังมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่ธุรกิจโซลูชันยานยนต์มีกำไรจากการดำเนินงานที่สูงเป็นประวัติการณ์
ผลประกอบการที่แข็งแกร่งสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการดำเนินตามวิสัยทัศน์ปี 2573 เพื่อสร้างรายได้และผลกำไรอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง โดยวิสัยทัศน์ปี 2573 ที่แอลจีเคยประกาศไว้ในเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ได้แก่ การมุ่งขยายธุรกิจ B2B และการสร้างนวัตกรรมภายใต้โมเดลธุรกิจที่ไม่ใช่ฮาร์ดแวร์ รวมถึงการพัฒนาและเข้าซื้อธุรกิจที่เป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ๆ แอลจีมีเป้าหมายที่จะก้าวข้ามการเป็นบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ไปสู่บริษัทโซลูชันเพื่อชีวิตสมาร์ท หรือ Smart Life Solutions ที่เชื่อมต่อและขยายประสบการณ์ที่หลากหลายได้อย่างแท้จริง
หนึ่งในปัจจัยที่สร้างการเติบโตของรายได้อย่างมาก คือการขยายไปสู่ธุรกิจ B2B ซึ่งรวมถึงชิ้นส่วนยานยนต์และระบบปรับอากาศ HVAC ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัวเลขผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของปีนี้สูงเป็นอันดับที่ 2 ในประวัติการณ์ของบริษัท รายได้จากธุรกิจ B2B เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และมีสัดส่วนราว 35% ในรายได้รวมทั้งหมดของบริษัทในปีนี้
ธุรกิจ B2B มักได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจน้อยกว่าเมื่อเทียบกับตลาด B2C และเมื่อธุรกิจ B2B ดำเนินไปอย่างเข้าที่แล้ว จะสามารถสร้างรายได้และผลกำไรที่มั่นคงได้มากกว่า ข้อดีอีกประการหนึ่งคือเมื่อลูกค้า B2B ใช้สินค้าของผู้ผลิตแบรนด์ใดก็มักใช้อย่างต่อเนื่องโดยไม่เปลี่ยน ทำให้สามารถพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้ซื้อได้อย่างแข็งแกร่งในระยะยาว แอลจียังมีแผนที่จะพัฒนาโอกาสสร้างการเติบโตให้มากขึ้นในด้านอื่นๆ นอกเหนือจากการจัดหาผลิตภัณฑ์ B2B เท่านั้น เพื่อต่อยอดไปสู่โซลูชันที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ที่จัดหาแก่ลูกค้า โดยบริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้จากธุรกิจ B2B ขึ้นเป็นมากกว่า 40 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 1.07 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2573
กำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 เพิ่มขึ้นมากกว่า 30% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาทั้งแบบปีต่อปีและไตรมาสต่อไตรมาส หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัททำกำไรได้สูง คือนวัตกรรมโมเดลธุรกิจใหม่ของแอลจีที่ผสานโซลูชันซึ่งไม่ใช่ฮาร์ดแวร์ เช่น คอนเทนต์ และบริการสมัครสมาชิก เข้ากับผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ที่แอลจีผลิตอยู่เดิม เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และทีวี ในอดีตรายได้จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเมื่อผู้บริโภคจ่ายเงินซื้อสินค้า แต่ปัจจุบันโมเดลได้เปลี่ยนไปสู่การสร้างรายได้แบบประจำผ่านการใช้โซลูชันบนแพลตฟอร์มที่ติดตั้งอยู่ในผลิตภัณฑ์หลายล้านชิ้นของแอลจีที่ผู้บริโภคใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน
เพื่อพัฒนาและมองหากลไกสร้างการเติบโตใหม่ๆ แอลจีตั้งเป้าที่จะลงทุนในธุรกิจที่มีแนวโน้มสดใส โดยต้องไม่เพียงแค่มีศักยภาพสูงเท่านั้น แต่ต้องสามารถบูรณาการเข้ากับธุรกิจที่มีอยู่เดิมได้ หนึ่งในตัวอย่างที่สำคัญของกลยุทธ์ดังกล่าว คือการลงทุนในธุรกิจชาร์จพลังงานสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะขยายธุรกิจนี้ไปทั่วโลกโดยเริ่มตั้งแต่ต้นปีหน้า ผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรอย่างหลากหลาย
บริษัทดำเนินตามวิสัยทัศน์ปี 2573 ได้อย่างราบรื่นและมั่นคงในสามเสาหลัก ได้แก่ สร้างการเติบโตในระดับชั้นนำ (ธุรกิจ B2B) สร้างผลกำไร (ขยายผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่ฮาร์ดแวร์) และการเพิ่มมูลค่าของบริษัท (กลไกขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ๆ) สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการบรรลุเป้าหมายของตัวเลข 7 ใน 3 มิติ คือ มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยและกำไรจากการดำเนินงานมากกว่า 7% ขึ้นไป และมูลค่าบริษัทต่อ EBITDA มีสัดส่วนอยู่ที่ 7 หรือมากกว่า
แอลจีจะเดินหน้าผลักดันการพลิกโฉมพอร์ตโฟลิโอธุรกิจต่อไปในไตรมาสที่ 4 โดยพยายามรักษาการเติบโตของธุรกิจ B2B ให้อยู่ในระดับสูง โดยใช้กลุ่มโซลูชันชิ้นส่วนยานยนต์เป็นหัวหอกสำคัญ ในขณะเดียวกันก็เพิ่มการเติบโตในกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท เนื่องจากใกล้จะถึงช่วงเทศกาลปลายปีที่มีบริโภคมีการจับจ่ายใช้สอยมากที่สุด บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มประสิทธิภาพโดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์ความต้องการซื้อที่ดียิ่งขึ้น เพื่อเสริมศักยภาพในการทำกำไรอย่างมั่นคงต่อไป
กลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและโซลูชันเครื่องปรับอากาศ มีรายได้ในไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ 7.46 ล้านล้านวอน (ประมาณ 2.01 แสนล้านบาท) และมีกำไรจากการดำเนินงาน 504.5 พันล้านวอน (ประมาณ 1.36 หมื่นล้านบาท) ผลกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลจากความสามารถด้านการแข่งขันที่แข็งแกร่งจากการดำเนินธุรกิจโดยรวม ซึ่งรวมถึงการผลิต การจัดซื้อ และโลจิสติกส์ที่ดียิ่งขึ้น ส่วนรายได้ยังอยู่ในระดับที่มั่นคงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปีที่แล้ว เป็นผลมาจากกลยุทธ์การปรับจุดยืนของกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์กำลังซื้อในตลาดที่หดตัว และการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ B2B ที่รวมถึงระบบปรับอากาศ HVAC ชิ้นส่วน และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่บิลด์อินมากับเฟอร์นิเจอร์ แอลจีมีแผนที่จะเร่งการเติบโตของธุรกิจ B2B ตามเทรนด์การใช้พลังงานไฟฟ้าและการลดก๊าซคาร์บอนในระบบปรับอากาศ HVAC ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา บริษัทได้ร่วมสนับสนุนเป้าหมายของมลรัฐแคลิฟอร์เนียในการติดตั้งปั๊มความร้อนไฟฟ้า 6 ล้านเครื่องภายในปี 2573 นอกจากนี้แอลจียังขยายพอร์ตโฟลิโอของ HVAC ด้วยระบบปรับอากาศใหม่สำหรับภายนอกอาคารโดยเฉพาะ (Dedicated Outdoor Air Systems) สำหรับในไตรมาสที่ 4 บริษัทจะนำร่องพลิกโฉมการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านรูปแบบใหม่ที่ขยาย LG ThinQ UP 2.0 ไปสู่การให้บริการและการสมัครสมาชิก ซึ่งปัจจุบันนำร่องเปิดตัวแล้วในอเมริกาเหนือซึ่งผู้ใช้สามารถอัพเกรด 4 ฟีเจอร์ใน ThinQ UP ได้ เพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสกับประสบการณ์การใช้งานนวัตกรรมอันล้ำสมัยได้อย่างรวดเร็ว
กลุ่มธุรกิจโซลูชันชิ้นส่วนยานยนต์ ทำรายได้ในไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ 2.5 ล้านล้านวอน (ประมาณ 6.75 หมื่นล้านบาท) และมีผลกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 134.9 พันล้านวอน (ประมาณ 3.64 พันล้านบาท) ซึ่งเป็นรายได้และกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 ที่สูงเป็นประวัติการณ์ของแอลจี บริษัทกำลังเร่งสร้างการเติบโตด้วยการจัดการห่วงโซ่อุปทานที่มั่นคง และการจัดการคำสั่งซื้อที่ค้างอยู่ ซึ่งคาดว่าจะสูงถึง 100 ล้านล้านวอน (ประมาณ 2.67 ล้านล้านบาท) ภายในสิ้นปีนี้ คาดว่าหน่วยธุรกิจนี้จะทำรายได้รวมทั้งปีได้มากกว่า 10 ล้านล้านวอน (ประมาณ 2.67 แสนล้านบาท) ได้เป็นครั้งแรกในปีนี้ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันให้ธุรกิจนี้เป็นหนึ่งในกลไกหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตของแอลจี คาดการณ์ว่ากลุ่มธุรกิจโซลูชันชิ้นส่วนยานยนต์จะยังคงมีการเติบโตในระดับสูงต่อไป เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว และความต้องการชิ้นส่วนรถยนต์มูลค่าสูงเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้ว่าอาจจะมีความกังวลเนื่องจากอุปสงค์ของชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมยานยนต์ชะลอตัวชั่วคราว จากสัญญาณบวกดังกล่าว แอลจีจึงมีแผนที่จะรักษาโมเมนตัมการเติบโตโดยมุ่งเน้นที่โครงการที่ใช้ชิ้นส่วนมูลค่าเพิ่มในระดับสูง และเร่งการผลิตเพื่อส่งออกในภูมิภาคของโรงงาน LG Magna ที่เมืองราโมส อริซเป ประเทศเม็กซิโก
กลุ่มธุรกิจโฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ มีผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ที่ 3.57 ล้านล้านวอน (ประมาณ 9.5 หมื่นล้านบาท) และมีผลกำไรจากการดำเนินงาน 110.7 พันล้านวอน (ประมาณ 2.95 พันล้านบาท) บริษัทยังคงรักษาอัตราการเติบโตที่มีกำไรได้ ด้วยการจัดการงบประมาณการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าราคาของจอ LCD จะสูงขึ้น ในขณะเดียวกันก็กระจายแหล่งที่มาของกำไร จากการเติบโตของธุรกิจคอนเทนต์และบริการที่อยู่ในแพลตฟอร์มสมาร์ททีวี บริษัทกำลังเร่งเปลี่ยนผ่านจากธุรกิจที่นำเสนอผลิตภัณฑ์เป็นหลัก ไปสู่ธุรกิจสื่อและความบันเทิงบนแพลตฟอร์ม เนื่องจากตลาดคอนเทนต์และบริการยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ นอกจากแอลจีจะขยายความร่วมมือกับผู้ให้บริการคอนเทนต์ต่างๆ แล้ว บริษัทยังอัพเกรดระบบปฏิบัติการทีวีเพื่อนำเสนอประสบการณ์รับชมคอนเทนต์ที่หลากหลายยิ่งขึ้นให้กับลูกค้า โดยคาดว่าทีวีที่ใช้ webOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการพื้นฐานของธุรกิจคอนเทนต์และบริการของแอลจี จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 300 ล้านเครื่องภายในปี 2569
กลุ่มธุรกิจโซลูชันสำหรับองค์กร ทำรายได้ในไตรมาสที่ 3 ที่ 1.33 ล้านล้านวอน (ประมาณ 3.59 หมื่นล้านบาท) โดยขาดทุนจากการดำเนินงาน 20.5 พันล้านวอน (ประมาณ 5.54 พันล้านบาท) ทั้งรายได้และความสามารถในการทำกำไรลดลง เนื่องจากความต้องการผลิตภัณฑ์ไอทีที่หดลง จากความท้าทายดังกล่าวที่ยังคงอยู่ บริษัทจึงคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมเพื่อมอบประสบการณ์ให้กับลูกค้า ด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ไอทีระดับพรีเมียม เช่น จอแสดงผลเชิงพาณิชย์ และแล็ปท็อปที่จอภาพพับงอได้ เพื่อนำเสนอโซลูชันที่ปรับแต่งได้ให้กับผู้ใช้ ในขณะเดียวกันก็สร้างการเติบโตโดยสนับสนุนธุรกิจชาร์จพลังงานของยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกใหม่ที่ขับเคลื่อนความสำเร็จของแอลจี