ประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า หลังจากที่ได้เข้ามารับตำแหน่งเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีกับหน่วยงานพันธมิตรต่างๆ ทั้งในกระทรวงฯ หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ จนถึงวันนี้ กระทรวงฯสามารถประสบผลสำเร็จในการดำเนินงานอย่างเข้มข้นสามารถแบ่งเป็น 9 ผลงานหลัก ดังนี้
1. ศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441
ดีอี ได้จัดตั้งศูนย์ AOC 1441 เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 เป็น One Stop Service แก้ปัญหาออนไลน์ สำหรับประชาชน ให้บริการ 24 ชม. และใช้ติดตามสถานการณ์ สั่งการ ปฏิบัติการป้องกันปราบปรามโจรออนไลน์อย่างบูรณาการและทันเวลา โดยมี War-room ภายใต้ AOC และ ใช้เทคโนโลยี พัฒนา Intelligent Assistant (IA) และ Intelligence based platform ทำให้เกิดการรวบรวมเชื่อมโยงข้อมูล เป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้พร้อมใช้งานในการป้องกัน ปราบปราม โดย platform นี้จะมีการใช้และการวิเคราะห์ ทั้งข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลการใช้โทรศัพท์ ข้อมูลธุรกรรมต้องสงสัย ใช้เทคโนโลยี AI / Data scientists เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ คาดการณ์ ซึ่งระบบนี้ จะทำงานเชื่อมโยง กับ Central Fraud Registry ของสมาคมธนาคาร และ Audit Numbering ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลของ กสทช
ผลการดำเนินงานสำคัญ ( 1- 30 พย 2566)
·
ประชาชนติดต่อ 79,997 สาย
· ระงับบัญชีธนาคาร 7,996 บัญชี เฉลี่ย 15 นาที จับกุมแล้ว 389 ราย
เป้าหมายของศูนย์ AOC 1441
·
ระงับ/อายัดบัญชีของคนร้าย
ให้ผู้เสียหาย/ผู้ถูกหลอกลวงออนไลน์ทันที
·
ติดตามสถานะ การแก้ไขปัญหาให้ผู้เสียหายทุกขั้นตอนได้ทันที
·
เร่งการคืนเงินให้ผู้เสียหาย
· เพิ่มประสิทธิภาพการจับกุม ดำเนินคดีและการขยายผลคดี โดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยงานบูรณาการข้อมูล และร่วมทำงานทันทีทุกหน่วยงานเกี่ยวข้อง เมื่อได้รับแจ้งจากผู้เสียหาย
2. การปิดกันเว็บไซต์ที่ผิดกฎหมาย
และเว็บพนัน
ดีอี ได้ปรับเปลี่ยนวิธีทำงาน จัดการเว็บที่ผิดกฎหมาย
โดยเน้นทำงานเชิงรุก ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย
ทำงานร่วมกับโซเชียลมีเดียแพลทฟอร์มใกล้ชิด ทำให้ปิดกั้นเว็บหรือเพจผิดกฎหมาย
เพิ่มมากขึ้น อย่างมีนัยยะสำคัญ ดังนี้
1 ต.ค. -10 ธ.ค. 2566 มีการปิดกั้นเว็บไซต์หรือเพจผิดกฎหมายโดยรวมทุกประเภท สูงถึง 25,061 เว็บไซต์/เพจ เพิ่มขึ้น 10.0 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ปิดได้ 2,567 เว็บไซต์/เพจ
ในช่วงเวลา 1 ต.ค. – 10 ธ.ค. 2566 มีการปิดกั้นเว็บพนันออนไลน์ ถึง 4,592 เว็บไซต์ เพิ่มขึ้น 17.5 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ปิดได้ 248 เว็บไซต์
3. การแก้ปัญหาการซื้อขายข้อมูลและการหลุดรั่วของข้อมูลประชาชน
ดีอี ได้เร่งดำเนินการ 6 มาตรการ
เพื่อแก้ปัญหาการหลุดรั่ว ของข้อมูลประชาชน ตลอดจนการซื้อขายข้อมูลประชาชน
โดยแบ่งเป็น ระยะเร่งด่วน 30 วัน ระยะ 6 เดือน และ ระยะ 12 เดือน ดังนี้
ระยะเร่งด่วน ใน 30 วัน
1. ให้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPC Eagle Eye เร่งตรวจสอบ ข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ พร้อมทั้งค้นหา เฝ้าระวัง การรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล โดยในช่วง 9 พ.ย. – 9 ธค 66 มีผลดังนี้
- ตรวจสอบแล้ว จำนวน 15,320 หน่วยงาน (รัฐ/เอกชน)
-
ตรวจพบข้อมูลรั่วไหล/แจ้งเตือนหน่วยงานแล้ว จำนวน 4,593 เรื่อง
-
หน่วยงานแก้ไขแล้วจำนวน 4,593 เรื่อง
- นอกจากนี้ ดำเนินการ
เรื่อง ซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล 3 เรื่อง ซึ่งอยู่ระหว่างสืบสวนดำเนินคดีร่วมกับ
กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.)
2. ให้สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.)
ตรวจสอบช่องโหว่ ระบบ cybersecurity หรือระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยข้อมูล
โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐที่เป็นหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ (Critical
Information Infrastructure: CII) อาทิ ด้านพลังงานและสาธารณสุข
ด้านบริการภาครัฐ และการเงินการธนาคาร เป็นต้น โดยการตรวจสอบช่องโหว่ ของระบบ cybersecurity
ระหว่าง 9 พ.ย. – 9 ธค 66 มีผลดังนี้
- ตรวจสอบระบบ cybersecurity
แล้ว จำนวน 91 หน่วยงาน
-
ตรวจพบมีความเสี่ยงระดับสูง 21 หน่วยงาน และ สกมช. ได้แจ้งให้แก้ไขแล้ว
นอกจากนี้ ดำเนินการเรื่อง การซื้อขายข้อมูลคนไทยใน darkweb (เว็บผิดกฎหมาย ที่คนร้ายหรือโจรออนไลน์นิยมใช้) จำนวน 3 เรื่อง ซึ่งอยู่ระหว่างสืบสวนดำเนินคดีร่วมกับ บช.สอท.
3. ให้ สคส. และ สกมช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมโรงแรมไทย รวมถึงเครือข่ายภาคสื่อมวลชน สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นหากไม่ปฏิบัติตามระเบียบขั้นตอนการรักษาความปลอดภัยของหน่วยงาน ความรู้เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity Awareness Training)
4. เร่งรัดปิดกั้นการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลที่ผิดกฎหมาย และดำเนินคดีจับกุมผู้กระทำความผิด
ระยะ 6 เดือน
5. ส่งเสริมการใช้งานระบบคลาวด์กลางภาครัฐที่มีความน่าเชื่อถือ ความมั่นคงปลอดภัยตามหลักวิชาการสากล รองรับการใช้งานของบุคลากรของหน่วยงานต่างๆ ได้อย่างปลอดภัย เพื่อป้องกันและลดปัญหาการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล จากสาเหตุที่หน่วยงานภาครัฐส่งข้อมูลให้หน่วยงานภายนอก หรือขาดบุคลากรในการกำกับดูแลงานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
ระยะ 12 เดือน
6. ปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ให้ทันสมัยต่อบริบทของสังคมและพฤติการณ์ที่เปลี่ยนไป และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบและป้องกันอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่ดียิ่งขึ้น
สำหรับ 6 มาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและแก้ปัญหาซื้อขายข้อมูลได้รายงานต่อที่ประชุม คณะรัฐมนตรี ในวันที่ 21 พ.ย. 66 แล้ว
4. การแก้ปัญหาซิมม้า
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เตรียมการป้องกันและปราบปราม
การใช้ซิมม้า โดยใช้มาตรการเชิงรุกจำนวน 6
มาตรการ ดังนี้
1) กำหนดให้ผู้ใช้บริการมีการถือครองซิมเกิน 5 ซิม
ต่อผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ จะต้องมีการมายืนยันตัวตนภายใน 30 วัน ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการของ คณะกรรมการ กสทช.
และให้มีผลให้ต้องลงทะเบียน ไม่เกิน 30
วันนับแต่การออกประกาศ
2) กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์
ให้ดำเนินการตรวจสอบการใช้งานโทรศัพท์ที่ผิดปกติ ที่มีการโทรออกตั้งแต่ 100 สายต่อวัน หรือในเวลาสั้นๆ ส่งข้อมูล AOC 1441
ทำการระงับการใช้งาน
3)
เร่งระงับเบอร์ และขยายผล สืบสวนสอบสวน ดำเนินคดี จากเบอร์
และชื่อเจ้าของเบอร์ ที่ได้จาก (1) การแจ้งความออนไลน์ (Thaipoliceonline.com)
(2) เบอร์ที่รับแจ้งกับ AOC 1441 (3) เบอร์ที่ผู้ให้บริการสื่อสาร ตรวจพบเอง จากระบบ
fraud detection และจาก สนง กสทช. และ (4) เบอร์ที่ต้องสงสัย อาทิ เบอร์ที่ใช้กับอุปกรณ์ ซิมบ็อกซ์ (SIM BOX)
หรืออุปกรณ์อื่นที่ใช้กระทำผิด เป็นต้น
4) ให้แจ้งข้อมูลการโทรที่ผิดปกติ ต่อ ศูนย์ AOC 1441 และ ระบบ Audit numbering ของ สนง.กสทช เพื่อให้เป็นศูนย์กลางรวมรวมข้อมูล ประสานหน่วยงานเกี่ยวข้องทุกหน่วย ร่วมเร่งตรวจสอบขยายผล แบบบูรณาการ วิเคราะห์อาชญากรรม สืบสวนสวน สอบสวนนำตัวผู้กระทำความผิด และเครือข่ายมาลงโทษโดยเร็ว
5)
ดำเนินการตรวจสอบ หมายเลขโทรศัพท์/เสาสัญญาณ
และการตั้งสถานีแพร่กระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตโดยไม่ได้รับอนุญาต
หากพบให้ดำเนินการระงับสัญญาณทันที
6) ดำเนินการกำกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีการให้บริการนอกราชอาณาจักรไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งหากตรวจสอบพบก็จะให้มีการแก้ไขปรับเปลี่ยนทิศทางการแพร่สัญญาณ
5. การดึงการลงทุนและพัฒนากำลังคนด้าน AI และ Cloud
ดีอี ได้ดึงการลงทุนและพัฒนากำลังคนดิจิทัล
โดยเฉพาะด้าน AI และ Cloud โดยความร่วมมือกับบริษัทระดับโลก และประเมินว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า
300,000 ล้านบาท ทั้งจากการลงทุนและพัฒนาบุคคลากรในระยะ 5 ปี จากความร่วมมือ 3
บริษัท
1. Huawei : ได้ร่วมมือการตั้งศูนย์เพื่อพัฒนาบุคลากรไทยด้าน
AI & Cloud ผลิตคนด้าน AI และ Cloud
ปีละ 10,000 คนหรือ 50,000 คน ในระยะเวลา 5 ปี
ซึ่งจะสร้างรายได้ให้ผู้ที่มีทักษะ AI & Cloud จำนวนกว่า
60,000 ล้านบาท แก้ปัญหาขาดแคลนบุคคลากรด้าน AI และ Cloud
2. Google มีความร่วมมือกับดีอีจะสร้างผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ภาคธุรกิจไทยกว่า
4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย Google และดีอีจะร่วมกันศึกษาแนวทางการใช้
Generative AI และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Google
Cloud
3. Microsoft : นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมพบปะหารือกับไมโครซอฟท์เพื่อร่วมพูดคุยถึงจุดประสงค์ของบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สอดคล้องกับนโยบายด้านรัฐบาลดิจิทัล และการใช้บริการระบบคลาวด์ภาครัฐ หรือ Cloud First เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถนำ AI มาใช้งานได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ รวมถึงยกระดับทักษะแห่งอนาคตสำหรับคนไทยกว่า 10 ล้านคน ผ่านทางความร่วมมือกับดศ.
6. “ชุมชนโดรนใจ”
One Tambon One Digital (OTOD) ชุมชนโดรนใจ เริ่ม พย 2566 มีเป้าหมายดำเนินการครบ 500 ชุมชน ใน ตค 2567 ประยุกต์ใช้โดรนเพื่อการเกษตร ให้บริการกว่า 4 ล้านไร่ทั่วประเทศ เกิดการยกระดับทักษะเกษตรกรกว่า 1,000 คน เกิดธุรกิจบริการโดรน 50 ชุมชน เกิดอาชีพใหม่ช่างโดรนชุมชน และเกิดศูนย์สอบอนุญาติการบินโดรน 5 ภูมิภาค และ เกิดมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจกว่า 20,000 ล้านบาท
ผลการดำเนินงาน
•
อยู่ระหว่างการรับสมัคร ซึ่งมีชุมชนให้ความสนใจสมัครเข้าร่วมแล้ว 300 ชุมชน และ 63
ศูนย์ซ่อม
•
ระหว่างจัดตั้งศูนย์สอบขอใบอนุญาตการบินโดรน 5 ศูนย์ทั่วประเทศ
• เกิดมาตรฐาน dSURE สำหรับเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล
7. Global Digital Talent
ดีอี โดย ดีป้า ได้ผลักดันให้มีกลไกในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนกำลังคนดิจิทัลให้กับภาคอุตสาหกรรมดิจิทัลและอุตสาหกรรมอื่น ๆ ของประเทศผ่านการนำเข้ากำลังคนจากต่างประเทศผ่านการตรวจลงตรารูปแบบใหม่ Global Digital Talent Visa (GDT Visa) ซึ่งมีเป้าหมายในการดึงดูดกำลังคน 2 ประเภท ได้แก่
1) กำลังคนดิจิทัลสาขาขาดแคลนโดยเป็นผู้ที่จบการศึกษา รวมถึงผู้ที่กำลังศึกษาด้านดิจิทัลจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ 600 แห่งทั่วโลกที่ได้รับการรับรอง (Digital Talent)
2) ผู้ที่ทำงานโดยใช้เทคโนโลยีเป็นหลักในอุตสาหกรรมดิจิทัล และสามารถทำงานได้ทุกที่ที่มีอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์ (Digital Nomads)
โดยชาวต่างชาติที่ได้รับ GDT Visa จะได้สิทธิในการพำนัก และสิทธิทำงานพร้อมวีซ่าเป็นระยะเวลา 1 ปี สามารถให้คู่สมรสและบุตรได้รับวีซ่าผู้ติดตามไปพร้อมกันได้ สามารถเดินทางเข้าและออกประเทศไทยได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง (Re-Entry permit) ได้รับสิทธิให้ใช้ช่องทางพิเศษ (Fast Track) ในการเข้าออกราชอาณาจักร ณ ท่าอากาศยานระหว่างประเทศที่มีให้บริการช่องทางพิเศษ ซึ่งชาวต่างชาติที่จะได้รับ GDT Visa จะต้องได้รับการรับรองคุณสมบัติตามที่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลกำหนด
ดีป้า ได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อยกร่างประกาศ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงรายละเอียดหลักเกณฑ์ เพื่อจัดทำเอกสารแนวทางการดึงดูดกำลังคนดิจิทัลสาขาขาดแคลนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย (Global Digital Talent Visa) และเอกสารที่เกี่ยวข้องประกอบการเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเสนอเรื่องให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการให้นำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณา ตามมาตรา 4 (12) พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548
8. การสนับสนุน Start Ups และ SMEs ด้วยบัญชีบริการดิจิทัลและมาตรการทางภาษี
ดีอี โดย ดีป้า ได้ดำเนินการจัดทำโครงการ ดังนี้
(1) บัญชีบริการดิจิทัล เป็นกลไกการยกระดับอุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งบัญชีบริการดิจิทัลเป็นการรวบรวมสินค้าและบริการดิจิทัลจากผู้ประกอบการและผู้ให้บริการดิจิทัลไทยที่มีคุณสมบัติครบถ้วน และเป็นไปตามข้อกำหนดด้านมาตรฐานและราคา ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นตัวช่วยในการคัดกรองสินค้าและบริการดิจิทัลที่มีคุณภาพในราคาที่สมเหตุสมผล อำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่มองหาสินค้าหรือบริการดิจิทัล ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐที่ต้องการเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาการให้บริการประชาชน นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบการดิจิทัลไทยในการเข้าสู่ตลาดภาครัฐ โดยรัฐสามารถใช้กระบวนการทางพัสดุด้วยวิธีคัดเลือกหรือเฉพาะเจาะจงในการซื้อหรือเช่าซื้อสินค้าและบริการดิจิทัลจากบัญชีบริการดิจิทัล ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเป็นไปอย่างเที่ยงธรรม มีมาตรฐานและสามารถตรวจสอบได้ ปัจจุบัน มีสินค้าและบริการที่ได้รับการรับรองและขึ้นทะเบียนบนบัญชีบริการดิจิทัลแล้วทั้งสิ้น 132 รายการ จากผู้ประกอบการดิจิทัลไทย 13 บริษัท
(2) ผลักดันมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่เศรษฐกิจดิจิทัล หรือ Tax 200%
9. การยกระดับ Thailand Digital Competitiveness Ranking
ดีอี ขับเคลื่อนความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล ส่งผลให้ การจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของไทยในปี 2566 หรือ Thailand Digital Competitiveness Ranking 2023 ดีขึ้น 5 อันดับ โดยไทยอยู่อันดับที่ 35 ในปี 2023 จากเดิม อันดับที่ 40 ใน ปี 2022
. การจัดอันดับด้านดิจิทัลนี้ จัดทำโดย World Competitiveness Center ของ International Institute for Management Development หรือ IMD สวิตเซอร์แลนด์ เป็นผลการจัดอันดับประจำปี 2023 หรือ พ.ศ. 2566 ตามรายงาน IMD World Digital Competitiveness Ranking 2023
สำหรับ 5 ประเทศที่มีอันดับสูงสุดในอาเซียนมีดังนี้ (ตัวเลขวงเล็บคืออันดับในโลก)
1. Singapore(3)
2. Malaysia (33)
3. Thailand (35)
4. Indonesia (45)
5. Philippines (59)
ทั้งนี้
รัฐมนตรี ประเสริฐฯ ตั้งเป้าหมายว่า
อันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของไทย จะต้องอยู่ใน 30
อันดับแรกของโลกภายในปี 2569 นี้