21 ธ.ค. 2566 381 0

กสทช. เสริมแกร่ง 'กลุ่มเปราะบาง' รู้เท่าทันภัยออนไลน์ แนะหลากวิธีเอาตัวรอด พร้อมนักจิตวิทยา

กสทช. เสริมแกร่ง 'กลุ่มเปราะบาง' รู้เท่าทันภัยออนไลน์ แนะหลากวิธีเอาตัวรอด พร้อมนักจิตวิทยา

สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จัดการบรรยายหัวข้อ “การสร้างความรับรู้เท่าทันภัยทางดิจิทัลและการคุ้มครองผู้บริโภค สำหรับคนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม” ซึ่งจัดขึ้นที่อาคารหอประชุมสำนักงาน กสทช. และผ่านระบบออนไลน์ WebEx ไปยังศูนย์อินเตอร์เน็ตสาธารณะ 2,184 แห่งทั่วประเทศ  โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม อาทิ ชาญวุฒิ อำนวยสิน ผู้อำนวยการสำนักบริการโทรคมนาคมโดยทั่วถึงและเพื่อสังคม วีรพนธ์ ศรีนวล ผู้อำนวยการส่วนจัดให้มีบริการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์ทางสังคม สำนักบริการโทรคมนาคมโดยทั่วถึงและเพื่อสังคม

ทั้งนี้ ไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์การจัดกิจกรรมครั้งนี้ ว่า มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มศักยภาพของคนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสในสังคมในประเทศไทย ซึ่งไม่ควรตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี  มุ่งเน้นสู่การพัฒนาคนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม ที่มีคุณภาพในการใช้ดิจิทัล

“ให้ความสำคัญกับการปลูกฝังจิตสำนึกที่ดี เพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาส จริยธรรมในการใช้สื่อออนไลน์ รับรู้เท่าทันภัยที่อาจจะพบทางไซเบอร์ ให้คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสในสังคมเป็นผู้ใช้งานดิจิทัลและสื่อสังคมออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในอนาคตจะสามารถถ่ายทอดความรู้ที่มีต่อไปยังคนรุ่นต่อๆ ไป” รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. กล่าว


ศ.นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. กล่าวว่า เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังที่เห็นตามข่าวเรื่องการหลอกลวงทางออนไลน์ เกิดขึ้นกับทุกเพศทุกวัย ทุกคนอาจเคยได้สัมผัสมาแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น คนพิการ หรือประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งจากศูนย์อินเตอร์เน็ตสาธารณะ 2,184 แห่งทั่วประเทศ เรามีหน้าที่ต้องทำให้ประชาชนรู้เท่าทันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง

ด้าน ต่อพงศ์ เสลานนท์ กสทช. (ด้านการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน) กล่าวในการบรรยายเรื่อง “เข้าถึงอย่างเข้าใจ” ว่า มนุษย์มีพัฒนาการด้านการสื่อสาร จากการใช้ภาษากาย มาสู่การใช้จดหมาย หนังสือ มาจนถึงปัจจุบันที่ใช้คลื่นความถี่เป็นตัวกลางส่งผ่านข้อมูลข่าวสาร ทำให้ปริมาณข้อมูลต่างๆ ถูกกระจายไปอย่างกว้างขวางมากมายมหาศาล โดยคลื่นความถี่มีอยู่ในทุกที่ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้เครื่องมือผลิตคลื่นความถี่เพื่อกระจายเป็นสื่อสัญญาณในพื้นที่นั้นหรือไม่ และนอกจากคลื่นความถี่ที่อยู่ในอากาศและอวกาศหรือดาวเทียมแล้วยังมีคลื่นที่ไปตามสายไม่ว่าสายทองแดงหรือสายไฟเบอร์ออพติค ทั้งหมดนี้เป็นการทำให้พื้นที่ต่างๆ มีระบบสื่อสารเชื่อมโยงถึงกัน อย่างในอดีตจะส่งจดหมายจาก จ.แม่ฮ่องสอน ไปยัง จ.ยะลา อาจใช้เวลาถึงผู้รับประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ แต่ปัจจุบันพื้นที่ต่างๆ ถูกร้อยเรียงเชื่อมโยงด้วยคลื่นความถี่และโครงสร้างพื้นฐานทางโทรคมนาคม การส่งข้อความไปหากันไม่ได้ใช้เวลาเป็นวัน แต่เป็นเพียงเสี้ยววินาที และกิจกรรมในการสื่อสารข้อมูลก็จะเพิ่มขึ้นมาก อีกทั้งเพิ่มขึ้นพร้อมกันทั้งประเทศหรือทั้งโลกไม่ใช่เพียงจุดใดจุดหนึ่ง เราจึงอยู่ในยุคที่เรียกว่าโลกาภิวัตน์ หรือ Globalization

“ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน เราก็สามารถสื่อสารไปยังที่ที่ไกลในเชิงระยะทาง แต่ว่าภายใต้คำว่า Globalization หรือว่าโลกาภิวัตน์ หรืออินเตอร์เน็ต ระยะทางไม่ได้เป็นความหมายถ้าปลายทางนั้นมีโครงข่ายโทรคมนาคม สิ่งที่ผมกำลังพูด ผมกำลังจะะบอกในจุดที่หนึ่ง ในเรื่องความเข้าถึง ก็คือเมื่อเรามีโครงข่ายโทรคมนาคมไปถึง มันเชื่อมโยงพวกเราทุกคน แล้วข้อมูลที่เดินทางไปมันไปแบบไม่เลือกปฏิบัติ ความหมายคือผู้ที่ใช้ข้อมูลข่าวสารนั้นจะเลือกใช้ข้อมูลข่าวสารอย่างไร” ต่อพงศ์ กล่าว

ดังนั้นการเชื่อมโยงระหว่างเราไปสู่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผู้ที่มีความสามารถในการกำหนดและตัดสินใจหลักจึงไม่ใช่คนส่งแต่เป็นตัวเราที่จะเลือกเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอะไรและอย่างไร สิ่งที่เท่ากันของทุกคนคือโครงข่ายโทรคมนาคม แม้จะมีบางจุดที่ความเร็วช้าบ้าง แต่ก็ใกล้เคียงกัน แต่ความแตกต่างในการตัดสินใจของแต่ละบุคคลคือประเด็น เช่น จะอ่านอะไร จะซื้ออะไร จะใช้ข้อมูลอย่างไร และจุดนี้คือความไม่เท่าเทียม เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงคนเรามีความแตกต่าง อาทิ สภาพร่างกาย ถิ่นกำเนิด ระดับการศึกษา ฐานะทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ซึ่งในสังคมที่ให้สิทธิเสรีภาพประชาชนอย่างเต็มที่ ทุกคนส่วนหนึ่งมีหน้าที่แสวงหารายได้เพื่อดำรงตน แต่ขณะเดียวกันจะมีกลุ่มคนที่ไม่สามารถหรือมีอุปสรรคในการที่จะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากข้อมูลข่าวสารที่ผ่านโครงข่ายโทรคมนาคม และสิ่งนี้คือหน้าที่สำคัญทั้งของ กสทช. สถาบันการศึกษา ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่จะทำอย่างไรให้คุณูปการของการเชื่อมโยงโครงข่ายสังคมในยุคข้อมูลข่าวสารให้ประโยชน์กับสังคมให้ได้มากที่สุด

“แต่การเข้าถึงถ้าขาดความเข้าใจในความแตกต่างหลากหลายของบุคคล ความเข้าถึงนั้นก็อาจไม่กลายเป็นคุณ แต่อาจกลายเป็นการหยิบยื่นอาชญากรรม หรือสร้างเส้นทางให้อาชญากรเดินไปถึงบ้านเรา ดังนั้นแล้ว 2 คำนี้ เข้าถึง เข้าใจ จึงต้องอยู่คู่กัน พูดง่ายๆ เข้าถึงอาจจะมองว่าเป็นเรื่องของโครงข่าย อุปกรณ์ต่างๆ เข้าใจคือเรื่องชองความแตกต่างหลากหลายของบุคคล และความเข้าใจนี้ที่จะทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำหรือปัญหาของผู้ที่ถูกกระทำหรือเป็นเหยื่อของอาชญากรรมทางไซเบอร์ลดลง” ต่อพงศ์ กล่าว

พล.อ.ต.อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ บรรยายเรื่อง “การใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์ให้ปลอดภัยและมีความสุข” ฉายภาพการหลอกลวงหลายรูปแบบ ทั้งการหลอกให้รักแล้วโอนเงิน หลอกให้ลงทุน หลอกว่ามีแหล่งเงินกู้ หลอกขายของ ฯลฯ ซึ่งมิจฉาชีพจะเล่นกับอารมณ์ความรู้สึก เช่น ความรัก ความโลภ ความกลัว พร้อมแนะนำจุดสังเกต อาทิ คำโฆษณาชวนเชื่อว่ามีสินค้าราคาถูกกว่าที่ควรจะเป็น หรือการทำงาน - การลงทุนที่สร้างรายได้ผลตอบแทนสูงผิดปกติ ก็มีความเสี่ยงสูงว่านั่นคือกลอุบายของคนร้าย

ศศกร วิชัย นักจิตวิทยาคลินิกเชี่ยวชาญ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวในการเสวนา “การบรรยาย การเยียวยาทางจิตใจผู้ประสบภัยทางออนไลน์ ก้าวข้ามความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น” แนะนำวิธีดูแลความรู้สึกของตนเองหลังพลาดท่าตกเป็นหยื่อมิจฉาชีพ ว่า ลองนึกถึงสิ่งที่ตัวเรายังเหลืออยู่ เช่น แม้เราจะเสียทรัพยสินไป แต่ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีครอบครัวอยู่ หน้าที่การงานก็ยังอยู่ และสิ่งต่างๆ คุณงามความดี ความภาคภูมิใจต่างๆ ที่เราสั่งสมมาตั้งแต่เล็กจนโต ซึ่งสิ่งเหล่านี้ใครก็มาฉกฉวยเอาจากเราไปไม่ได้