18 ม.ค. 2567 420 1

JFIN Chain เดินหน้านำเทคโนโลยีบล็อกเชนขับเคลื่อนธุรกิจไทยด้วยเครื่องมือ ready-to-use ให้เติบโตได้จริง เตรียมพร้อมรับกระแส Bullrun

JFIN Chain เดินหน้านำเทคโนโลยีบล็อกเชนขับเคลื่อนธุรกิจไทยด้วยเครื่องมือ ready-to-use ให้เติบโตได้จริง เตรียมพร้อมรับกระแส Bullrun

เจ เวนเจอร์ส ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีด้าน Digital Transformation และบล็อกเชนสัญชาติไทย JFIN Chain’ ในกลุ่มเจ มาร์ทกรุ๊ป (Jaymart Group)  เปิดแผนรับปี 2024 ในงาน ‘JFIN 2024 Experience Day’ ตั้งเป้าส่ง JFIN Chain  เดินหน้านำเทคโนโลยีบล็อกเชนขับเคลื่อนธุรกิจไทยให้เติบโตด้วยเครื่องมือ ready-to-use พร้อมรับกระแส bullrun โดยมีธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ธนวินท์ รัฐเมธา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จํากัด ร่วมเผยทิศทางการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน มาใช้สนับสนุนและขับเคลื่อนธุรกิจไทยให้เติบโตในปี 2024 พร้อมเหล่าพันธมิตร JFIN Chain ได้แก่ สุภชีพ พรวัฒนากูร, WIRTUAL  ประกาศิต ทิตาราม, Wellios พิยดา จรูญกุล, อินฟินิทแลนด์ โทเคน (KGO Token)  จัตุพร รักไทยเจริญชีพ, BEASTICA กิตติพล ลีปิพัฒนวิทย์, 360 Academy โฆษิต ขุมทรัพย์, Tripster ร่วมนำเสนอ Showcase และพูดคุยในประเด็นการนำบล็อกเชนมาต่อยอดทางธุรกิจ ครอบคลุมกธุรกิจท่องเที่ยว บริการ ค้าปลีก ฯลฯ  เพื่อโอกาสที่เติบโตและตอบโจทย์ผู้บริโภค


ตั้งแต่ JFIN Chain ได้เริ่มพัฒนาในปี 2022 ในรูปแบบ Proof-of-Stake Authority (PoSA) โดยมีองค์กรเข้ามาร่วมเป็น Validator Nodes จำนวน 11 Nodes ด้วยกัน สำหรับปี 2023 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่เรียกว่า ‘The Year of Collaboration’ เนื่องจาก JFIN Chain ได้มีการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ทั้งการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ และการต่อยอดพัฒนาของที่มีให้เกิดการใช้งานจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเอาเทคโนโลยี NFT (Non-Fungible Tokens) เข้ามาเป็นเครื่องมือทรานสฟอร์มให้ธุรกิจก้าวสู่โลกบล็อกเชนและ Web3 ซึ่งนำมาใช้จริงแล้วกับธุรกิจ (Real use case) เช่น การใช้ NFT เพื่อสร้าง Customer Engagement กับร้านสุกี้ตี๋น้อย และร้านกาแฟ Casa Lapin  หรือ  การนำ NFT มาเป็นรางวัลพรีเมียมพร้อมกับสิทธิพิเศษให้กับผู้ร่วมงานคอนเสิร์ต Overcoat ครั้งที่ 13 ทั้งนี้ JFIN Chain ยังได้ขยายอีโคซิสเต็มให้พร้อมเชื่อมต่อสู่ต่างประเทศ โดยการพาร์ทเนอร์กับต่างประเทศ อาทิ Coinstore.com  ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลก ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศสิงคโปร์ รองรับผู้ใช้งานกว่า 3.5 ล้านคน ใน175 ประเทศทั่วโลก และ Liquid Crypto ผู้ให้บริการ Decentralized Finance ชั้นนำจากออสเตรเลีย   ในส่วนของเหรียญโทเค็น (Token) JFIN Chain มีผู้พัฒนาโปรเจกต์และมีเหรียญมาร่วมกันอยู่บนเชนมากมาย ตอบโจทย์การใช้งานและไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ที่มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น XWEL ที่เป็นเหรียญสำหรับองค์กรในรูปแบบ work to earn, WIRTUAL เหรียญจากแอปพลิเคชันออกกำลังกายชื่อดัง และ KGO เหรียญCity Token จากจังหวัดขอนแก่น ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาคให้ขยายขึ้นต่อไปอีก


ธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จํากัด  เผยกลยุทธ์และทิศทางของ JFIN Chain ปี 2024 ว่า “ จากที่เราพัฒนาเทคโนโลยี และสร้างแพลตฟอร์มต่างๆ ในปีที่ผ่านมา และ JFIN Chain ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เรามีความพร้อมที่จะเป็น Infrastructure Blockchain ให้กับองค์กรธุรกิจ ด้วยเครื่องมือพร้อมใช้ (Ready-to-use) ที่เรามีจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนให้ธุรกิจทรานสฟอร์มสู่โลก Web3 (Empower Your Journey, Thrive The Business) ผ่านการเชื่อมบุคคลเข้ากับเทคโนโลยีที่เราออกแบบจากพฤติกรรม


พื้นฐานของผู้ใช้งานปัจจุบัน ซึ่งไม่เน้นเฉพาะ B2B (Business to Business) เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึง B2B2C (Business to Business To Customer) ที่ปัจจุบัน C ไม่ใช่เพียงแค่ Customer อีกต่อไป แต่ยังรวมถึง Community ที่เป็นกลุ่มชุมชนของผู้ที่มีความชื่นชอบในเรื่องเดียวกัน อาทิ กลุ่มนักพัฒนา กลุ่มชุมชน Web3 กลุ่มครีเอเตอร์ กลุ่มนักสะสม NFT ฯลฯ จะเห็นได้ว่า นอกจากเครื่องมือทางธุรกิจแล้ว JFIN Chain ยังพร้อมที่จะรองรับ Gamification ที่เข้ามาร่วมบนเชน โดยในต้นปีนี้ เตรียมพบกับเกมส์ BitmonsterNFT และ BEASTICA อีกทั้งเรายังให้น้ำหนักกับการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน (Community Building) ทั้งกลุ่มนักพัฒนา กลุ่ม Web3  ผู้ใช้งาน รวมถึงผู้ถือ JFIN ซึ่งเรามองว่าทุกกลุ่มนั้นต่างเป็นกลไกที่จะช่วยขับเคลื่อนให้บล็อกเชนขยายและเติบโตขึ้นไปอีก


ธนวินท์ รัฐเมธา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จํากัด กล่าวว่า “เครื่องมือธุรกิจจาก JFIN Chain ช่วยให้องค์กรและธุรกิจเชื่อมต่อสู่โลก Web3 ได้จริง โดยเราออกแบบมาจากการศึกษา Pain point หลักของธุรกิจ 4 เรื่อง ได้แก่

1) ลดค่าใช้จ่ายต้นทุน (Reduce cost) เช่น ค่าพัฒนาแอปพลิเคชัน ค่าบำรุงรักษา ค่าตัวคนไอที ฯลฯ

2) เครื่องมือมีคุณภาพ (Quality)  สร้างเครื่องมือพร้อมใช้งานที่มีคุณภาพ และใช้งานได้จริงในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมต่างๆ

3) ความรวดเร็วในการทำงาน (Fast) เนื่องจากหลายองค์กรไม่มีเวลามากพอที่จะพัฒนาระบบใหม่ๆ ดังนั้นเครื่องมือที่พร้อมใช้จึงเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้

4) การผ่านมาตรฐานและมีการตรวจสอบอย่างถูกต้อง (Compliance Audit) การพัฒนาบล็อกเชนของ JFIN Chain ได้รับการตรวจสอบทางบัญชีอย่างถูกต้อง และได้รับมาตรฐานความปลอดภัยทางระบบ ISO27001


ภายในงานฯ ได้มีการนำเสนอโชว์เคสที่หลากหลายจากเหล่าพาร์ทเนอร์ JFIN Chain พร้อมแสดงวิสัยทัศน์ การนำเอาบล็อกเชนมาต่อยอดทางธุรกิจได้จริง โดยมีตัวแทนจากพันธมิตรฯ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้พัฒนา Token และแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สุภชีพ พรวัฒนากูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ Co-founder จาก WIRTUAL  ประกาศิต ทิตาราม  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Wellios จำกัด และพิยดา จรูญกุล  Marketing Communication บริษัท อินฟินิทแลนด์ โทเคน จำกัด ร่วมพูดคุยในหัวข้อ “Expanding the Ecosystem : Showcasing partnerships and collaborations with business” อีกด้วย


JFIN Chain: Blockchain For Business นำเสนอ 7 เครื่องมือพร้อมใช้งาน ที่ธุรกิจสามารถเริ่มต้นก้าวเข้าสู่โลก Web3 ไปได้อย่างรวดเร็ว ดังนี้

1.BUSINESS NFT: ตัวช่วยขับเคลื่อนธุรกิจโดย Non-Fungible Tokens (NFT) ด้วยรากฐานของระบบบล็อกเชน NFT เป็นเครื่องมือหลักที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับแบรนด์ สร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับลูกค้าให้แข็งแรง และช่วยให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้า GEN Z ธุรกิจสามารถปรับใช้งานเทคโนโลยี NFT ในรูปแบบของ Utility สอดคล้องไปกับรูปแบบของตัวเองได้ โดยเครื่องมือ BUSINESS NFT ที่ JFIN Chain พัฒนาขึ้น ใช้งานได้ตั้งแต่เริ่มรับ NFT ผ่านรูปแบบกิจกรรมต่างๆ ไปจนถึงนำไปใช้งานกับธุรกิจหรือร้านค้า รวมถึงจัดทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดต่างๆ (Campaign) อย่างต่อเนื่องสำหรับผู้ถือ NFT นั้นๆ เหล่านี้จะช่วยให้การทำงานขององค์กรและธุรกิจเชื่อมต่อได้ง่าย รวดเร็ว และพร้อมใช้งานโดยที่ไม่ต้องใช้ทีมพัฒนาบล็อกเชนเพิ่มแต่อย่างไร

2.Join Application: ออกแบบมาเพื่อเป็นทางลัดในการเชื่อมต่อธุรกิจเข้าสู่โลกบล็อกเชนด้วยกระเป๋า (Wallet) ที่เป็น Mobile Application ที่มาพร้อมฟีเจอร์บล็อกเชนสำเร็จรูปบน ไม่ว่าจะเป็น Tokenization, NFT, Community, Gamification, Airdrop และอีกมากมาย ด้วยแอปพลิเคชันพร้อมใช้งานนี้จะช่วยให้ธุรกิจประหยัดค่าใช้จ่ายในการพัฒนา แล้วมุ่งเน้นสร้างประโยชน์เพื่อทำกิจกรรมทางการตลาด สร้าง Customer Engagement หรือตอบโจทย์องค์กรที่มองหาเครื่องมือในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล สร้าง Employee Engagement ที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ปัจจุบันของคนรุ่นใหม่

3.Join Rewards: ตอบโจทย์การสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มชุมชน (Community) เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมในธุรกิจด้วยการใช้งาน Join Rewards ที่จะช่วยสร้าง Engagement กับลูกค้าและชุมชนได้ง่ายขึ้น ผ่านกิจกรรมบนJoin Application โดยที่ผู้ใช้งานองค์กรไม่จำเป็นต้องสร้างแอปพลิเคชันเอง และปรับใช้งาน template สำเร็จรูปได้ด้วยตัวเอง

4.TOKEN GENERATION: ตัวช่วยให้ระบบนิเวศธุรกิจธุรกิจแข็งแกร่งขึ้น ด้วยการสร้างและบริหารจัดการโทเคน  โดยที่ไม่ต้องพัฒนาขึ้นมาเอง ด้วยบริการ Token Generation อีกตัวช่วยที่เปิดโอกาสในการทำธุรกรรม และแลกเปลี่ยนโทเค็นเป็นไปได้ง่าย และใช้งานได้จริง

5.JFIN Name Service (JNS): เพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารให้ดีขึ้น ด้วยการลดปัญหาการจดจำเลขกระเป๋า Web3 หรือเว็บไซต์ยาวๆ ด้วยการสร้าง Name Service ในแบบ decentralized มั่นใจได้ในความปลอดภัยว่าเป็นตัวจริง ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง ช่วยยกระดับการจัดการธุรกิจให้เป็นไปได้ด้วยความน่าเชื่อถือ

6.KLAIKLAI Decentralization Web3 Social Map: แพลตฟอร์ม GeoLocation เครื่องมือเชื่อมต่อผู้ใช้งานในแบบOnline to Offline ที่จะสร้างประสบการณ์ให้ทั้งบุคคล ชุมชน และธุรกิจ ตอบโจทย์ธุรกิจด้วยฟีเจอร์ทางการตลาดที่จะช่วยดึงผู้ใช้งานจากออนไลน์ให้มาร่วมสร้างปฏิสัมพันธ์ในโลกจริง ผ่านกิจกรรมบนแอปพลิเคชัน  สำหรับ KlaiKlai เป็น Mobile Application ที่ทำงานในแบบ Contribute to Earn ผู้ใช้งานสะสม exp เพื่อไปใช้แลกเป็น Token และรับรางวัลได้จริง

7.BLOCKCHAIN LAYER2: Network Blockchain Layer 2 เป็น Network Blockchain สำรอง ที่รองรับการเก็บข้อมูลปริมาณมากและมีความรวดเร็ว เพื่อรองรับ Use Case ของธุรกิจที่มีความจำเป็นต้องเก็บข้อมูลปริมาณมาก ทำให้การทำธุรกรรมรวดเร็ว และมีค่าใช้จ่ายต่ำ มั่นใจได้ในความปลอดภัย และโปร่งใสตรวจสอบได้ของเทคโนโลยีบล็อกเชน

เพื่อช่วยขับเคลื่อนธุรกิจและองค์กรให้พุ่งทะยานต่อเนื่อง JFIN Chain ยังได้ต่อยอดสร้างสรรค์ Join Solution ให้เป็นโซลูชันตัวช่วยสำคัญในการนำเอาเครื่องมือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Web3, NFT และ Token เข้ามาทำงานร่วมกันในแบบ Integration เพื่อให้เป็น Enterprise Engagement Platform เชื่อมต่อธุรกิจและลูกค้าเข้าสู่โลก Web3 ได้อย่าง seamless โดยองค์กรสามารถเลือกสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ สู่กลุ่มเป้าหมายได้  ทั้งการใช้ Customer Loyalty สู่ลูกค้าและคอมมูนิตี้, Employee Engagement กับพนักงานในองค์กร, Events & Concerts ตัวช่วยในการการจัดงานอีเว้นท์ และ Education Ecosystem ที่จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ และสร้างความบันเทิงไปพร้อมกัน

โดย Join Solution ออกแบบมาเพื่อช่วยลดต้นทุนค่าพัฒนาด้านไอที ประหยัดเวลาเนื่องจากเป็นเครื่องมือพร้อมใช้ สามารถเชื่อมต่อใช้งานร่วมกับระบบหรือแอปพลิเคชันที่มีอยู่แล้วได้ทันที รวมถึง interface ของ Join Application หรือ Line OA และยังสามารถเลือก Customize ตาม CI ของบริษัท หรือแบรนด์นั้นๆ รวมถึงเลือกใช้งานเฉพาะฟีเจอร์ที่ต้องการ