16 มี.ค. 2567 191 0

เจาะลึกแรงบันดาลใจจากนาฬิกาสวิส สู่งานออกแบบ realme 12Pro+ 5G และ realme 12+ 5G โดย Ollivier Savéo

เจาะลึกแรงบันดาลใจจากนาฬิกาสวิส สู่งานออกแบบ realme 12Pro+ 5G และ realme 12+ 5G โดย Ollivier Savéo

realme (เรียลมี) แบรนด์สมาร์ตโฟนเพื่อคนรุ่นใหม่ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ประกาศวันเปิดตัว realme 12Pro+ 5G และ realme 12+ 5G ที่หลายคนตั้งตารอในตลาดเมืองไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมเป็นแชมเปี้ยนด้านการถ่ายภาพคนใหม่ภายใต้สโลแกน “Be a Portrait Master” โดยชูไฮไลต์เทคโนโลยีกล้องซูมแบบเพอริสโคปรุ่นแรกและรุ่นเดียวในเซกเมนต์ หากความโดดเด่นอีกด้านที่สะกดทุกสายตาของแฟนเรียลมีมากที่สุดก็คือดีไซน์ตัวเครื่องที่สวยงามหรูหราจนไม่น่าเชื่อว่าจะมาในสมาร์ตโฟนระดับกลาง! ครั้งนี้เราจะมาเจาะลึกกันถึงที่มาและแรงบันดาลใจในงานออกแบบระดับมาสเตอร์ชิ้นนี้


ดีไซน์สุดลักชูจากการคอลแลบ realme Design Studio x Ollivier Savéo

การออกแบบ realme 12 Pro+ 5G และ realme 12+ 5G เกิดจากความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง realme Design Studios ซึ่งผนึกกำลังกับ Ollivier Savéo (โอลิวิเยร์ ซาเวโอ) ผู้ผลิตนาฬิกาหรูชั้นนำของฝรั่งเศสซึ่งเคยฝากผลงานการคอลแลบกับแบรนด์นาฬิกาหรูเพื่อผสานศาสตร์แห่งการออกแบบตัวเรือนนาฬิการะดับมาสเตอร์เข้ากับเทคโนโลยีสมาร์ตโฟนที่สมบูรณ์แบบที่สุดของวันนี้

โอลิวิเยร์ต้องการให้ 12 Pro+ 5G และ 12+ 5G มอบความสวยงามโดดเด่นเสมือนเป็นเครื่องประดับชิ้นงามในมือคุณ ผ่านการนำเสนอรายละเอียดงานออกแบบที่ซับซ้อนเหนือกว่าสมาร์ตโฟนทั่วไป โดยได้ดีไซน์กรอบของโมดุลกล้องแบบ Golden Fluted Bezel ที่ผลิตขึ้นอย่างพิถีพิถันโดยใช้เครื่องกลึง CNC (Computer Numerical Control) คุณภาพสูง พร้อมตกแต่งขอบด้วยเส้นโลหะที่เซาะร่องอย่างแม่นยำกว่า 300 เส้น กระบวนการนี้เพื่อสร้างกรอบที่สวยงามดั่งตัวเรือนของนาฬิกาหรูแบบ 360° (ดีไซน์ขอบ Golden Fluted Bezel มีเฉพาะในรุ่น realme 12Pro+ 5G) ในส่วนของแผงหน้าปัดใช้การขัดเงาแบบ Sunburst ที่ขัดเงาแบบวงมากกว่า 500 วง เพื่อสร้างพื้นผิวยูวีไล่ระดับแสงอันน่าหลงใหลและเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา ส่งผลให้ส่วนโมดุลกล้องดูเปล่งประกายในทุกองศาการมอง และช่วยขับเน้นจุดเด่นเรื่องกล้องของให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนมากยิ่งขึ้น


พื้นที่ส่วนใหญ่ของฝาหลังถูกหุ้มด้วยหนังวีแกน (Vegan Leather) และเย็บตกแต่งเส้นกึ่งกลางแนวตั้งด้วยตะเข็บแบบ 3D Jubilee Bracelet ซึ่งเป็นการร้อยเรียงรูปทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนต่อเนื่องกัน เพื่อให้ตะเข็บมีรูปลักษณ์แบบเมทัลลิกที่ซับซ้อนสวยงาม และยิ่งมองลึกก็จะยิ่งเห็นถึงรายละเอียด นอกจากนี้ตัววัสดุหนังวีแกนมอบคุณสมบัติความคงทนต่อการใช้งาน ทั้งทนต่อรอยขีดข่วนและสารเคมีต่าง ๆ ได้ดี โดยเฉพาะการทนต่อความร้อน-หนาวได้ดีอย่างทึ่ง เพราะทนทานต่ออุณหภูมิได้ตั้งแต่ระดับต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง -50° ไปจนถึงร้อนสุดขีดที่ถึง 200°C โดยที่ยังไม่เสียหายได้เลยทีเดียว!


ดื่มด่ำกับโทนสีแห่งความเรียบหรูคัดสรรโดยสตูดิโอนักออกแบบชั้นนำ

นอกจากงานออกแบบโครงสร้างตัวเรือน ยังเปิดตัวโทนสีคลาสสิกรูปแบบใหม่ซึ่งมีแรงบันดาลใจจากอุตสาหกรรมนาฬิการะดับพรีเมียม โดยรุ่น realme 12Pro+ 5G นำเสนอ 2 โทนสี ได้แก่ Submarine Blue สีน้ำเงินเข้มดั่งท้องทะเลลึก สะท้อนความสง่างามอันเงียบสงบโดยฉายความโดดเด่นได้อย่างแยบยล และสี Navigator Beige สื่อถึงความประณีตอันละเมียดละไม กลมกลืนไปกับแนวตะเข็บสีทองได้อย่างสวยงามลงตัว และสำหรับรุ่น realme 12+ 5G นำเสนอโทนสี Pioneer Green สีแห่งความสง่างามและความหรูหราแบบเรียบง่ายซึ่งมักพบในหน้าปัดของนาฬิกาหรู และยังยังแฝงกลิ่นอายของการผจญภัยและแมกไม้สีเขียวได้อย่างอ่อนโยน และสี Navigator Beige เช่นเดียวกับรุ่น Pro+

สัมผัสประสบการณ์สมาร์ตโฟนที่สมบูรณ์แบบทั้งนวัตกรรมและงานดีไซน์

realme 12 Pro+ 5G และ realme 12+ 5G คือการผสานงานออกแบบระดับโลกเข้ากับเทคโนโลยีการถ่ายภาพระดับแฟล็กชิป พร้อมประสิทธิภาพการใช้งานที่เหนือกว่าทุกแบรนด์ในระดับราคาเดียวกัน โดยชูไฮไลต์รุ่น realme 12Pro+ 5G ที่มาพร้อมเทคโนโลยีกล้องซูมเพอริสโคปรุ่นแรกและรุ่นเดียวในเซกเมนต์ และ realme 12+ 5G เป็นสมาร์ตโฟนเพียงรุ่นเดียวในระดับราคาเดียวกันที่รองรับเทคโนโลยี OIS เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของสมาร์ตโฟนระดับกลางสู่การเป็น Portrait Master อย่างสมบูรณ์แบบ

รอพบกับงานเปิดตัว realme 12 Pro+ 5G และ realme 12+ 5G พร้อมกัน 21 มีนาคม ผ่านช่องทาง Facebook, Youtube และ Tiktok ตั้งแต่เวลา 16.30 น. เป็นต้นไป

เกาะติดข่าวสารกิจกรรมต่าง ๆ จาก realme Thailand ผ่านช่องทาง

Facebook: (https://www.facebook.com/realmeTH)

Instagram: (https://www.instagram.com/realme_thailand)

Tiktok: (https://www.tiktok.com/@realme_thailand)

Twitter: (https://twitter.com/realmeTH)

Youtube: (https://www.youtube.com/@realmeThailandTH)