เมื่อพูดถึงธุรกิจร้านกาแฟในประเทศไทย เป็นที่รู้กันดีว่าในปัจจุบันมีการแข่งขันค่อนข้างสูง แบรนด์ร้านกาแฟต่างต้องต่อสู้กันทั้งในด้านรสชาติ และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ในขณะเดียวกันยังต้องเผชิญกับสภาพเศรษฐกิจ ตลอดจนพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงและมาพร้อมความต้องการสูงอยู่เสมอ ทำให้แบรนด์กาแฟที่จะยืนอยู่ในตลาดได้ อย่างมั่นคง ต้องมีการเรียนรู้และปรับตัวตามสถานการณ์ต่าง ๆ ให้ทัน โดย “เดอะ คอฟฟี่ คลับ” เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่พิสูจน์ให้เห็นถึงความโดดเด่นในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ด้วยแนวคิดและกลยุทธ์การตลาดที่มองอย่างรอบด้านตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายน้ำ ในวันนี้จึงขอพาทุกคนไปดูเบื้องหลังร้าน เดอะ คอฟฟี่ คลับ กับสูตรสู่ความสำเร็จเหนือสมรภูมิสงครามเมล็ดกาแฟ จนสามารถครองใจทั้งคนไทยและชาวต่างชาติได้อยู่หมัด
พิถีพิถันคัดเมล็ดพันธุ์สุดล้ำค่า สู่กาแฟรสชาติชั้นเลิศ
“เดอะ คอฟฟี่ คลับ” เป็นแบรนด์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของเมนูกาแฟอันเป็นเอกลักษณ์ ความลับของรสชาติอันโอชะนั้นอยู่ที่การเลือกใช้เมล็ดพันธุ์กาแฟที่มีคุณภาพ สำหรับกาแฟของ เดอะ คอฟฟี่ คลับ ที่ให้บริการในไทย มีอยู่ 2 แบบด้วยกัน ได้แก่ ซิกเนเจอร์เบลนด์ (Signature Blend) ที่นำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย การันตีด้วยการได้รับรางวัลระดับโลก Golden Bean Awards การแข่งขันกาแฟที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงทั่วโลก และ สยามเบลนด์ (Siam Blend) ที่ปลูกจากทางภาคเหนือของไทย จากจังหวัดเชียงรายและน่าน นอกจากจะได้เมล็ดกาแฟคุณภาพ รสชาติเยี่ยมแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยสนับสนุนเกษตรกรไทยโดยตรงอีกด้วย
การเข้าใจผู้บริโภค หัวใจสำคัญสู่การเติมเต็มทุกความต้องการ
นอกจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพแล้ว “เดอะ คอฟฟี่ คลับ” ให้ความสำคัญกับการเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง โดยทางร้านจะมีการวิเคราะห์เทรนด์และความต้องการของผู้บริโภค นำมาต่อยอดพัฒนาเมนูใหม่ ๆ รวมถึงปรับเมนูเดิมให้มีรสชาติถูกปากผู้บริโภคมากขึ้น ตลอดจนนำเสนอโปรโมชันที่ตรงใจผู้บริโภค เช่น เมนูข้าวต้มเซต เมนูออลเดย์ทางเลือกสำหรับคนที่อยากทานเมนูง่าย ๆ สบายท้อง เหมาะสำหรับทานได้ทั้งมื้อเช้าและมื้อดึก หรือเมนูเครื่องดื่มอย่าง ชาไทยปังเย็น เฟรปเป้ เมนูใหม่รับอินไซด์คนไทยที่ปัจจุบันนิยมบริโภคชาไทยมากขึ้น รวมถึงเมนูกาแฟ ที่พบว่าอินไซด์ของผู้บริโภคคนไทยว่า 20% นิยมดื่มกาแฟที่มีรสชาติเข้มข้น ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการนำเมล็ดกาแฟสยามเบลนด์เข้ามาตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว
ดึงดูดผู้บริโภคหน้าใหม่ ให้ทดลองชิมฟรี สร้างประสบการณ์แรกพบที่ดีต่อแบรนด์
ด้วยตลาดกาแฟมีการแข่งขันค่อนข้างสูง ดังนั้นการสร้างการรับรู้ในตลาดอาจทำได้ยากสำหรับผู้บริโภคคนไทย เดอะ คอฟฟี่ คลับ จึงใช้กลยุทธ์ Trial สินค้า ในทุกครั้งที่ออกเมนูใหม่ หรือมีการเปิดสาขาใหม่ โดยจะมีการให้ทดลองชิมกาแฟและเมนูใหม่ของทางร้านอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้บริโภคหน้าใหม่ได้ลองสินค้าเลยทันที อีกทั้งยังมอบสิทธิพิเศษอย่าง ฟรีกาแฟ 1 แก้วทันทีที่สมัครสมาชิกผ่านแอปพลิเคชัน นอกจากนี้ กลุ่มผู้บริโภคที่เป็นลูกค้าประจำ ก็ยังมีโอกาสได้ลองสินค้าใหม่ ๆ อยู่เสมอ
รักษาฐานผู้บริโภคเก่า ตอบโจทย์ด้วยอินไซด์พร้อมโปรโมชัน
นอกจากการดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคหน้าใหม่แล้ว เดอะ คอฟฟี่ คลับ ยังคงให้ความสำคัญกับลูกค้าประจำอยู่เสมอ ด้วยการมอบโปรโมชันพิเศษผ่านระบบเมมเบอร์ ที่ได้รับจากอินไซด์ผู้บริโภคพบว่าคนทานกาแฟจะมีความถี่ในการทานมากกว่าคนที่ทานอาหารอยู่ที่เดือนละ 3-4 ครั้ง ดังนั้นเดอะ คอฟฟี่ คลับ จึงโฟกัสเมมเบอร์ที่เป็นคนทานกาแฟและมอบสิทธิพิเศษต่าง ๆ ผ่านระบบสะสมแต้ม เช่น การใช้แต้มแลกเครื่องดื่มฟรี การจัดโปรโมชันดับเบิ้ลพ้อยรับแต้มคูณสองในช่วงเวลาที่กำหนด การมอบสิทธิพิเศษในการชิมเมนูใหม่สำหรับสมาชิกระดับซิลเวอร์และโกลด์ ตลอดจนการทำระบบ Coffee Subscription สำหรับซื้อเครื่องดื่มชนิดใดก็ได้ที่ร่วมรายการ จำนวน 10 แก้ว ในระยะเวลา 1 เดือน ในราคาแพคเกจเพียง 590 บาท ซึ่งเฉลี่ยเหลือเพียงแก้วละ 59 บาทเท่านั้น อีกทั้งยังสามารถอัปเกรดเป็น 15 แก้ว ต่อเดือน เพียงเพิ่มเงิน 200 บาท โดยสามารถกดแลกซื้อได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน THE COFFEE CLUB Thailand ที่ทำขึ้นเพื่อเอาใจลูกค้าประจำ ช่วยสร้างความรู้สึกคุ้มค่าสูงสุด และยังช่วยเพิ่มความถี่ในการเข้ามาใช้บริการ เกิดการซื้อซ้ำ เพิ่มยอดขายหน้าร้านได้ในเวลาเดียวกัน
ขยายสาขาอย่างชาญฉลาด เจาะตลาดตรงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย
แน่นอนว่าเมื่อการแข่งขันในตลาดสูง การขยายสาขาจึงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่หลายแบรนด์ต่างมุ่งเน้นเพื่อเพิ่มโอกาสในการขาย สำหรับ เดอะ คอฟฟี่ คลับ ไม่เพียงแค่โฟกัสที่จะเพิ่มจำนวนสาขาแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังให้ความสำคัญกับการเลือกทำเลที่มีศักยภาพ เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย และตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ตรงตามคอนเซปต์ของแบรนด์ที่ต้องการให้ร้านเป็นสถานที่พบปะพูดคุย หยุดพักเพื่อเติมโมเมนต์ดี ๆ ได้ตลอดวัน ดังนั้น สาขาส่วนใหญ่ของเดอะ คอฟฟี่ คลับ จะตั้งอยู่ในโซนที่เป็นแหล่งชุกชุมผู้คน ทั้งย่านท่องเที่ยว ย่านออฟฟิศ หรือใจกลางเมือง เป็นต้น โดยร้านได้ออกแบบให้มีบรรยากาศอบอุ่น ผ่อนคลาย เน้นโทนสีอบอุ่น และเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่เน้นฟังก์ชันการใช้งาน เช่น เก้าอี้ที่นั่งแล้วรู้สึกสบายเหมาะกับการนั่งทำงาน พบปะสังสรรค์ หรือพักผ่อน มากกว่าแค่ดีไซน์สวยเพื่อดึงดูดผู้บริโภคให้อยากมาถ่ายภาพเพียงอย่างเดียว
ไม่เพียงชูจุดเด่นของความเป็นกาแฟ แต่พร้อมสร้างความยั่งยืนต่อโลก
ในยุคที่ผู้บริโภคเริ่มใส่ใจกับเรื่องของสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้น เดอะ คอฟฟี่ คลับ ไม่เพียงเป็นร้านที่เสิร์ฟกาแฟและอาหารชั้นเลิศเท่านั้น แต่ยังพร้อมตอบโจทย์ความต้องการในทุกมิติ ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ทั้งด้าน zero waste หรือแนวคิดลดขยะให้เป็นศูนย์ ด้วยผลิตภัณฑ์อย่าง ECO Coffee Bag ไอเดียรักษ์โลก เปลี่ยนถุงเมล็ดกาแฟ เป็นกระเป๋ารีไซเคิลที่มาพร้อมเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือจะเป็น คอฟฟี่พอต กาแฟแคปซูลสำหรับผู้ที่ต้องการดื่มกาแฟที่บ้าน เน้นสะดวก รวดเร็วและได้รสชาติคงที่ ช่วยลดการใช้พลาสติกได้ดี การปรับใช้ Eco-Friendly Packaging แก้วกระดาษใส่เครื่องดื่มร้อน และแก้วไบโอผลิตขึ้นจากวัสดุธรรมชาติ สำหรับใส่เครื่องดื่มเย็น พร้อมฝาแก้วแบบ Sip Lid ที่สามารถยกดื่มได้ไม่ต้องใช้หลอด ตลอดจนการให้ความสำคัญด้านสวัสดิภาพสัตว์ที่เป็นส่วนสำคัญของสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้ไข่ไก่แบบ Cage Free Eggs ที่ผ่านวิธีการเลี้ยงแม่ไก่แบบปล่อยอิสระในโรงเรือนระบบปิด ที่สะอาด ปลอดภัย ช่วยให้แม่ไก่มีอิสระทำให้ได้ไข่ไก่ที่มีสารอาหารครบถ้วน เป็นต้น
จากกลยุทธ์ทั้งหมดข้างต้นของ เดอะ คอฟฟี่ คลับ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า กลยุทธ์ที่ชาญฉลาด เมื่อผสมผสานกับการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน จะกลายเป็นกุญแจสำคัญที่ไม่เพียงนำสู่ความสำเร็จในการประกอบธุรกิจร้านกาแฟเท่านั้น แต่ยังคงขับเคลื่อนให้แบรนด์เติบโตอย่างยั่งยืน สร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับผู้บริโภค พร้อมยกระดับมาตรฐานธุรกิจร้านกาแฟในประเทศไทย และสร้างแรงบันดาลใจให้กับธุรกิจอื่น ๆ สามารถนำไปปรับใช้และพัฒนาธุรกิจของตนเองให้เติบโตได้ต่อไปในอนาคต