“คุณอาจยังไม่รู้ว่า ทุกครั้งที่คุณส่งอีเมล คุณกำลังทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้น…ทุกคลิป ทุกภาพ ที่คุณเซฟไว้ในสมาร์ตโฟนหรือส่งไปเก็บไว้ในคลาวด์ คุณกำลังทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย… แค่คุณเล่นโซเชียลมีเดียเป็นประจำคุณก็อาจสะสมความเครียดหรือมีปัญหาทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิตได้แบบไม่รู้ตัว… ทุกวันนี้เราทุกคนต่างมีส่วนทำร้ายโลกและทำร้ายตัวเองอย่างช้าๆ ซึ่งกว่าจะรู้ตัวก็อาจสายไปแล้ว”
ประโยคเด็ดชวนคิด จากเวที ETDA LIVE ซีรีส์ DIGITRIBE EP: 3 “Digital Pollution เมื่อโลกเสมือนกำลังกัดกินโลกจริง” จัดโดย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA (เอ็ตด้า) ที่เปิดพื้นที่ชวนผู้เกี่ยวข้องจากแวดวงต่างๆ อย่าง อัซมานี เจ๊ะสือแม ตัวแทนเยาวชนจากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ตัวแทนเยาวชนที่เข้าร่วมประชุมสมัชชาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมระดับโลก หรือ COP28 พีรพล เหมศิริรัตน์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook Fanpage ‘Environman’ สื่อพลังบวกด้านสิ่งแวดล้อม คุณลัลณ์ลลิน เตจะสาเวศซ์ นักแสดงและอินฟลูเอนเซอร์ที่สนใจประเด็นเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และ รศ.ดร. ชัยรัตน์ ตรีทรัพย์สุนทร นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหาและการจัดการสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัย พระจอมเกล้าธนบุรี มาร่วมพูดคุย ขบคิด ถึงประเด็นร้อนด้านสิ่งแวดล้อมที่มาพร้อมโลกเสมือนอย่าง Digital Pollution หรือ มลพิษทางดิจิทัล ที่วันนี้ใกล้ตัว มาพร้อมภาระ และสภาวะที่กำลังกัดกินโลกจริง
เราอาจยังไม่รู้ว่าทุกครั้งที่เราใช้อินเทอร์เน็ตหรือทำกิจกรรมต่างๆ บนโลกออนไลน์ล้วนก่อให้เกิด Digital Pollution ไม่ว่าจะเป็นการกดค้นหาบน Google ที่สร้าง CO2 ถึง 0.2 - 1.45 กรัมหรือทุกครั้งที่ส่งอีเมล ก็ปล่อย CO2 แล้ว 4 - 50 กรัม และทั่วโลกมีการส่งอีเมลถึง 347,300 ล้านฉบับต่อวัน นอกจากนี้ การรับชมคลิปวิดีโอบน YouTube นาน 30 นาที ก็ปล่อย CO2 ประมาณ 3 กรัม และการดูซีรีส์บน Netflix 1 ชั่วโมง ปล่อย CO2 ได้ถึง 56 - 114 กรัม จากตัวเลขข้างต้นนี้ จะเห็นว่า ทุกกิจกรรมออนไลน์ที่ดูเหมือนจะฟรี แต่จริงๆ แล้ว แลกมาด้วยราคาที่โลกต้องจ่าย เพราะเบื้องหลังการทำงานของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต การสตรีมมิ่งและการเก็บข้อมูลดิจิทัลที่ไม่มีใครเห็นนี้ คือ การทำงานของ Server และ Data Center ขนาดใหญ่ที่ใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาล ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งแม้ปริมาณการปล่อย CO2 ในแต่ละกิจกรรมจะดูเหมือนไม่มาก แต่ถ้าคนทั้งโลกต่างทำกิจกรรมแบบเดียวกัน พร้อมกัน ใช้งานแทบจะตลอดเวลาเหมือนกัน เมื่อรวมกันแล้วพบว่า กิจกรรมออนไลน์เหล่านี้กลับปล่อย CO2 มหาศาลถึงปีละกว่า 1.6 พันล้านตัน ซึ่งมากกว่าอุตสาหกรรมการบินทั้งหมดและเทียบเท่าประเทศที่มีการปล่อยมลพิษมากเป็นอันดับ 4 ของโลก1เลยทีเดียว
นอกเหนือจากทุกคนช่วยกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว ภาครัฐและผู้ประกอบการก็มีบทบาทสำคัญที่จะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็น หันมาให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อม จัดสรรงบประมาณ อย่างเหมาะสมเพื่อช่วยแก้ปัญหา หมั่นดูแลรักษาและปรับปรุงระบบ IT และ Data Center ให้ใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เลือกใช้ซอฟต์แวร์และอุปกรณ์ดิจิทัลที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยขยะอิเล็กทรอนิกส์ ทำลายขยะอย่างถูกวิธี เลือกใช้พลังงานทางเลือก รวมถึงปลูกฝังพนักงานในองค์กรให้ตระหนัก ถึงความสำคัญของการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
การลด Digital Pollution อาจทำได้ยาก และไม่น่าจะลดลงได้ในเร็ววัน แต่ก็ยังไม่สายที่ “เริ่ม” และ “เร่ง” ทำตั้งแต่ตอนนี้ โดยต้องปลุกกระแสให้ทั่วโลกหันมาสนใจ เกิดความตระหนักรู้ว่าเป็นปัญหาใหญ่ จำเป็นต้องเร่งแก้ไข จนเริ่มสนใจว่าจะช่วยกันแก้ปัญหานี้ได้อย่างไรและยินดีที่จะร่วมปฏิบัติตาม เพื่อให้เกิด New Normal ใหม่ ที่รักษ์โลก รักษ์สิ่งแวดล้อม และดูแลทรัพยากรไปด้วยกัน
แม้ภารกิจในการกอบกู้โลกจะดูเป็นเรื่องที่ยากและยิ่งใหญ่จนแทบจะมองไม่เห็นความสำเร็จ และอาจใช้เวลายาวนานในการขับเคลื่อนหลายสิบปี แต่อย่างน้อยความพยายามของทุกฝ่ายในวันนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีและจะเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงในการสร้างโลกที่ดีขึ้นเพื่อลูกหลานของเราในอนาคต