19 ก.ค. 2567 911 23

ดีอี ยัน กรณี CrowdStrike และ ระบบ Windows ล่มทั่วโลก ไม่กระทบเครือข่ายมือถือและอินเทอร์เน็ตของไทย

ดีอี ยัน กรณี CrowdStrike และ ระบบ Windows ล่มทั่วโลก ไม่กระทบเครือข่ายมือถือและอินเทอร์เน็ตของไทย

ประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีข่าวว่า ระบบการให้บริการของ บริษัท CrowdStrike (คราวด์สไตรก์) ซึ่งเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่มีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกา เกิดข้อผิดพลาด ส่งผลให้ระบบปฏิบัติการ Windows ขัดข้องนั้น ดีอี ได้ดำเนินการดังนี้

1. ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น ยังไม่พบว่ากรณีดังกล่าว มีผลกระทบต่อ เครือข่ายโทรคมนาคม โทรศัพท์เคลื่อนที่-อินเทอร์เน็ต รวมทั้ง ระบบสื่อสารและการเดินอากาศของบริษัท วิทยุการบิน

 2. ดีอี ประสานกับสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เพื่อติดตามสถานการณ์ เฝ้าระวัง อย่างใกล้ชิด พบว่ามีผลกระทบกับบางระบบงานในไทยบ้าง ซึ่งอยู่ระหว่างการประมวลข้อมูล ทั้งนี้ กรณีที่ได้รับการแจ้ง ทาง สกมช. พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างทันที

3. สกมช. ได้มีคำแนะนำ สำหรับหน่วยงานรัฐและเอกชน ที่ได้รับผลกระทบ วิธีการแก้ไขในเบื้องต้นดังนี้


ขั้นตอนที่ควรทำหากยังประสบปัญหาการ Reboot ซ้ำๆ

• บูตเข้าสู่ Safe Mode (ตามคำแนะนำอย่างเป็นทางการของ CrowdStrike) ขั้นตอนต่อไปนี้ทำได้ทุกกรณี

แม้ว่าระบบจะไม่มี local admin account ในเครื่องและไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

• ให้ระบบบูตและ crash สามครั้ง ซึ่งจะทำให้เมนูปรากฏ

• คลิก Troubleshoot

• คลิก Advanced Options

• คลิก Command Prompt

• หากเป็นระบบที่ใช้การป้องกันด้วย BitLocker จะต้องป้อนรหัสการกู้คืน BitLocker ของหน่วยงานนั้น

• หาก BitLocker ถูกจัดการผ่าน Microsoft Intune สามารถค้นข้อมูลได้ที่ https://myaccount.microsoft.com ภายใต้เมนู "device" ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้จับคู่ชื่อโฮสต์ของอุปกรณ์และ ID ของคีย์

• หากไม่สามารถค้นหาข้อมูลใน Microsoft Intune ได้ให้ติดต่อเพื่อขอรับ Recovery Key BitLocker จากผู้ดูแลระบบ IT ของหน่วยงาน

• ในหน้าต่าง Command Prompt ให้พิมพ์คำสั่งต่อไปนี้ ตามด้วยปุ่ม Enter:

• คำเตือน: Command Prompt  เริ่มต้นที่ไดรฟ์ X:\ กรุณาอย่าลืมเปลี่ยนเป็น c:\ โดยพิมพ์คำสั่งเหล่านี้อย่างถูกต้อง

c:

cd windows

cd system32

cd drivers

cd crowdstrike

del C-00000291*

exit

• คลิก continue to Windows

ขั้นตอนสำหรับผู้ใช้งานระบบ Cloud สาธารณะหรือคล้ายคลึง รวมถึง Virtual Machines

ตัวเลือกที่ 1:

Detach Volume disk ระบบปฏิบัติการออกจาก virtual server ที่ได้รับผลกระทบ

Create a snapshot or backup of the disk volume ก่อนดำเนินการต่อไปเพื่อเป็นการป้องกันการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ตั้งใจ

Attach/mount volume กับ virtual server ใหม่

• ไปที่ไดเรกทอรี C:\Windows\System32\drivers\CrowdStrike

• ค้นหาไฟล์ที่ตรงกับ “C-00000291*.sys” และลบมันออก

Detach volume ออกจาก virtual server ใหม่

Reattach volume ที่ได้รับการแก้ไขกลับไปยัง virtual server ที่ได้รับผลกระทบ 

ตัวเลือกที่ 2:

• ย้อนกลับไป snapshot ก่อนเวลา 04:09 UTC

 

ขั้นตอนสำหรับ Azure ผ่านทางซีเรียลเพื่อเข้าสู่ Safe Mode

• เข้าสู่ระบบคอนโซล Azure --> ไปที่ Virtual Machines --> Select the VM

• ด้านซ้ายบนของคอนโซล --> คลิก: "Connect" --> คลิก --> Connect --> คลิก "More ways to Connect" --> คลิก: "Serial Console"

• เมื่อ SAC โหลดแล้ว ให้พิมพ์ 'cmd' และกด Enter

• พิมพ์คำสั่ง 'cmd'

• พิมพ์: ch -si 1

• กดปุ่มใดก็ได้ (หรือกดแป้น space bar) ใส่ Credential ของผู้ดูแลระบบ

• ป้อนคำสั่งดังนี้:

bcdedit /set {current} safeboot minimal

bcdedit /set {current} safeboot network

Restart VM

• ตัวเลือกเพิ่มเติม: วิธีตรวจสอบสถานะการบูต รันคำสั่ง:

wmic COMPUTERSYSTEM GET BootupState

ข้อมูลเพิ่มเติม

-การทำตามขั้นตอนเหล่านี้จะไม่ทำให้ความปลอดภัยลดลง โดยหลังจากทำตามขั้นตอนข้างต้น CrowdStrike จะกลับมาทำงานตามปกติในระบบและระบบยังคงได้รับการป้องกัน

-CrowdStrike ได้ระบุสาเหตุของการอัปเดตที่ผิดพลาดว่าเป็นข้อบกพร่องในการอัปเดตเนื้อหา

(content update) ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าเกิดจากการโจมตีทางไซเบอร์

-หากระบบได้รับการบูตแล้วและกลับมาออนไลน์ ไม่มีความจำเป็นต้องถอดถอน CrowdStrike

อ้างอิงจาก https://www.eye.security/blog/crowdstrike-falcon-blue-screen-issue-updates

 

“กระทรวง ดีอี มีความห่วงใยประชาชน โดยจะร่วมกับ สกมช. ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมหารือแนวทางและมาตรการรับมือ หากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบและสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน” รมว.ประเสริฐ กล่าว

 

สามารถแจ้งเบาะแส ข่าวปลอม และอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โทรสายด่วน 1111 (24 ชม.) หรือ Line ID: @antifakenewscenter | เว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com