บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2567 ด้วยกำไรที่ต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิหลังหักภาษีและหลังปรับปรุงรายการพิเศษ 2.4 พันล้านบาท EBITDA เติบโตเป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกัน เป็นผลจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และธุรกิจออนไลน์ ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงจากการให้ความสำคัญกับผลการดำเนินงานและการเพิ่มประสิทธิภาพ บริษัทยังคงย้ำถึงการปรับเปลี่ยนสู่การเป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำ โดยมุ่งเน้นการประยุกต์ใช้ AI และการทำให้กระบวนการทำงานเป็นระบบอัตโนมัติตามเป้าหมายภายในปี 2570
ในไตรมาส 2/2567 ทรู คอร์ปอเรชั่น บันทึกผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการด้อยค่าสินทรัพย์ที่มีความซ้ำซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย จำนวน 4,277 ล้านบาท ส่งผลให้มีขาดทุนสุทธิหลังหักภาษี จำนวน 1,879 ล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว กำไรสุทธิหลังหักภาษีจะอยู่ที่ 2,398 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 1,596 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน โดยมีปัจจัยหลักมาจากการปรับตัวที่ดีขึ้นของ EBITDA และค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (D&A) ที่ลดลง ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) สำหรับไตรมาส 2 ปี 2567 อยู่ที่ 6,112 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นการลงทุนเพื่อพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยและการยกระดับประสบการณ์ลูกค้า
มนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด
(มหาชน) เปิดเผยว่า "นับตั้งแต่การควบรวมกิจการเมื่อปีที่แล้ว
ทรู
คอร์ปอเรชั่นมุ่งมั่นอย่างไม่หยุดยั้งในการสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรลุเป้าหมายในการเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างยั่งยืน
เราให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า
ผลประกอบการไตรมาส 2 ของเราสอดคล้องกับแผนการควบรวมกิจการ โดยมีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องและ EBITDA แสดงการเติบโตเป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกัน
ทรู คอร์ปอเรชั่นได้วางแผนการเป็นผู้นำด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีที่ยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการสร้างกำไรและคุณค่าอย่างยั่งยืนผ่านประสบการณ์
การเติบโต และการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมภายในปี 2568 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการทำกำไรในปี 2567 เรามั่นใจว่าปีนี้จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงเพื่อการเติบโตที่มีกำไร
ในขณะที่ปี 2568 จะเป็นปีแห่งการทำกำไรอย่างยั่งยืนและการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า อุตสาหกรรม
ตลาด และประเทศโดยรวม"
ชารัด เมห์โรทรา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด
(มหาชน)
เปิดเผยแผนการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและการเตรียมพร้อมสู่อนาคตว่า
"เรากำลังเร่งการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย โดยได้ดำเนินการพัฒนาไปแล้วกว่า 7,100 สถานี จากทั้งหมด 17,000 สถานี ส่งผลให้คะแนนความพึงพอใจของลูกค้า (NPS) ดีขึ้น เราได้จัดตั้งกลุ่มงานลูกค้าและ AI เพื่อยกระดับการให้บริการด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย"
ชารัดกล่าวต่อว่า "การพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยยังคงเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญสูงสุด
เรากำลังใช้กลยุทธ์แบบ 360
องศาในระดับละเอียดเพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้า
โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มความเร็วสูงสุดของ 5G เป็นสองเท่าผ่านโครงข่ายที่เหนือกว่าและครอบคลุมกว้างที่สุด
ทรู คอร์ปอเรชั่นมีเจตนารมณ์ในการลงทุนสำหรับการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยรวมถึงการพัฒนาขีดความสามารถของระบบหลังบ้านแบบอัตโนมัติ
(Back-end systems) เพื่อขับเคลื่อนการเป็นดิจิทัลทั่วทั้งองค์กร
ทำให้ทรูก้าวล้ำในการเป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยี จากเสาสัญญาณทั้งหมด 59,000 สถานี เราจะพัฒนา 17,000
สถานีโดยมีแผนพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไป 10,000 สถานีภายในปี 2567
และส่วนที่เหลือจะแล้วเสร็จในปี 2568 ยิ่งเราพัฒนามากเท่าไร ประสบการณ์ของลูกค้าก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น"
ในไตรมาส 2 ปี 2567 การให้ความสำคัญเชิงคุณภาพในการได้มาซึ่งลูกค้าใหม่ทำให้มีจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ลดลง
0.6 ล้านเลขหมาย หรือ 1.2% จากไตรมาสก่อน โดยมีจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 50.5 ล้านเลขหมาย จำนวนผู้ใช้บริการระบบรายเดือนคงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่ 15.3 ล้าน ผู้ใช้บริการออนไลน์เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 0.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน อยู่ที่ 3.7 ล้าน
นกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น
จำกัด (มหาชน) กล่าวด้วยความยินดีว่า
"EBITDA
ของทรู คอร์ปอเรชั่นปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกัน ส่งผลให้มีกำไรภายหลังการปรับปรุง 2.4 พันล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2567 รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC เติบโต 5.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน
โดยได้แรงหนุนจากการบริหารผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในทุกกลุ่มธุรกิจ
รายได้รวมอยู่ที่ 51.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน
โดยมีปัจจัยหลักจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการ
รายได้จากบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้น 5.2% (YoY) เนื่องจาก ARPU
เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 3.9% (YoY) รายได้จากบริการออนไลน์เพิ่มขึ้น 5.5% (YoY) โดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของ ARPU อย่างต่อเนื่องที่ 9.6%
(YoY) รายได้จากบริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก (PayTV) เพิ่มขึ้น 7.0%
(YoY) จากรายได้ที่สูงขึ้นจากธุรกิจดนตรีและบันเทิง อย่างไรก็ตาม
รายได้จากค่าสมาชิกยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง
ในไตรมาส 2 ปี 2567 บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
(ไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย หรือ D&A) ลดลง 3.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน หลังการปรับปรุงผลกระทบเชิงบวกที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในไตรมาส
2 ปี 2566 โดยปัจจัยหลักมาจากประโยชน์ที่ได้รับจากการควบรวมกิจการ
ต้นทุนเครือข่ายลดลง 7.6% (YoY) อันเป็นผลจากการประหยัดต้นทุนผ่านการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยและการลดอัตราราคาพลังงาน
นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 14.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน
โดยได้รับประโยชน์จากการควบรวมกิจการในโครงการปรับปรุงด้านการค้าและการพัฒนาองค์กรให้ทันสมัย
ทั้งนี้ บริษัทได้ผสานแนวคิดการมุ่งเน้นผลการดำเนินงานเข้ากับวัฒนธรรมองค์กรและมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพเชิงโครงสร้าง
ส่งผลให้ ทรู คอร์ปอเรชั่น สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทรู คอร์ปอเรชั่นบันทึกการเพิ่มขึ้นของ EBITDA 4,883 ล้านบาทนับตั้งแต่การควบรวมกิจการ ซึ่งนับเป็นการเติบโตของ EBITDA เป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกัน สำหรับไตรมาส 2 ปี 2567 EBITDA ปรับตัวดีขึ้น 733 ล้านบาท จากไตรมาสก่อน เพิ่มขึ้น 3.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ซึ่งหากปรับปรุงด้วยผลกระทบเชิงบวกที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในไตรมาส 2 ปี 2566 EBITDA จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 15.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน อันเนื่องมาจากการเติบโตของรายได้และการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่การควบรวมกิจการที่ 58.6% สำหรับไตรมาส 2 ปี 2567
ในไตรมาส 2 ปี 2567 ทรู คอร์ปอเรชั่นบันทึกผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการด้อยค่าสินทรัพย์ที่มีความซ้ำซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย
จำนวน 4,277 ล้านบาท ส่งผลให้มีผลขาดทุนสุทธิหลังหักภาษี 1,879 ล้านบาท เมื่อปรับปรุงรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว กำไรสุทธิหลังหักภาษีอยู่ที่
2,398 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 1,596 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน
โดยมีปัจจัยหลักจากการปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA และค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ลดลง ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) สำหรับไตรมาส 2 ปี 2567 อยู่ที่ 6,112 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นการลงทุนในการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยและการยกระดับประสบการณ์ลูกค้า
คณะผู้บริหารของทรู คอร์ปอเรชั่นได้ปรับปรุงแนวโน้มสำหรับปี 2567 โดยคาดว่าสำหรับทั้งปี 2567 บริษัทจะมีรายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย
(IC) เติบโต 4-5% เมื่อเทียบกับปีก่อน EBITDA
จะเติบโต 12-14% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่แนวโน้มค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน
(CAPEX)
รวมถึงการลงทุนเพื่อการควบรวมกิจการยังคงอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท ทั้งปี 2567 จะยังคงมีกำไรหากไม่รวมผลกระทบจากการด้อยค่าสินทรัพย์ที่มีความซ้ำซ้อนที่เกี่ยวข้องการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย
ตัวเลขทางการเงินที่สำคัญในไตรมาส 2 ปี 2567
· รายได้จากบริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC จำนวน 41,529 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.7% (YoY) และ 0.6% (QoQ)
· EBITDA อยู่ที่
24,335 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.0% (YoY) และ 3.1% (QoQ)
· อัตราส่วน EBITDA
ต่อรายได้จากการให้บริการอยู่ที่ 58.6%
· กำไรสุทธิภายหลังการปรับปรุง (Normalized) จำนวน 2,398 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 1,596 ล้านบาท (QoQ)
คำชี้แจงที่สำคัญ (Disclaimer)
บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ควบรวมกิจการเป็นบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อ “บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)” เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2566 ข้อมูลทางการเงินที่สะท้อนถึงระยะเวลาก่อนในเอกสารฉบับนี้ ได้อ้างอิงจากงบการเงินเสมือนของ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)