20 ก.ย. 2567 94 0

โบลท์ (Bolt) เผยสถิติ คนไทยมีแนวโน้มหันมาเลือกการเดินทางแบบปลอดมลพิษมากขึ้น

โบลท์ (Bolt) เผยสถิติ คนไทยมีแนวโน้มหันมาเลือกการเดินทางแบบปลอดมลพิษมากขึ้น

โบลท์ ร่วมฉลองวันปลอดรถโลก พร้อมการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของหมวดรถยนต์ไฟฟ้า (EV)

  • โบลท์เผยตัวเลขจำนวนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในหมวด Green ที่ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ด้วยอัตราการเติบโตกว่า 257.5%
  • รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของโบลท์ มีระยะทางสะสมรวมกว่า 4.51 ล้านกิโลเมตร เทียบเท่ากับการเดินทางรอบโลกที่เส้นศูนย์สูตรถึง 112 รอบ  
  • การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเหล่านี้บนแพลตฟอร์มของโบลท์ สอดคล้องกับผลวิจัยล่าสุดของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) และบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เกรท วอลล์ มอเตอร์ (Great Wall Motor)

เนื่องในโอกาสวันปลอดรถโลก (World Car Free Day) เดือนกันยายนนี้ โบลท์ภูมิใจนำเสนอการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในหมวดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการส่งเสริมการเดินทางแบบปลอดมลพิษในเมือง ความสำเร็จนี้สอดคล้องกับเทรนด์โลกที่ส่งเสริมการลดการพึ่งพายานพาหนะที่ใช้น้ำมันแบบดั้งเดิมและสนับสนุนการเดินทางที่สะอาดยิ่งขึ้น

ในเดือนสิงหาคม 2567 โบลท์ได้เห็นการใช้งานที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าประทับใจในหมวด Green ด้วยอัตราการเติบโตที่สูงถึง 257.5% การเพิ่มขึ้นของจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้งานสะท้อนถึงแนวโน้มที่ชัดเจนของผู้ใช้บริการโบลท์ในการเลือกใช้การเดินทางที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ รถยนต์ไฟฟ้าของโบลท์เดินทางรวมแล้วกว่า 4.51 ล้านกิโลเมตร เทียบเท่ากับการเดินทางรอบโลกที่เส้นศูนย์สูตรถึง 112 รอบ ความสำเร็จนี้ไม่เพียงแต่ตอกย้ำความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น แต่ยังมีส่วนช่วยลดการปล่อยคาร์บอนและทำให้อากาศในเมืองบริสุทธิ์ขึ้น

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเหล่านี้สอดคล้องกับผลการวิจัยล่าสุดจากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) และบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เกรท วอลล์ มอเตอร์ (Great Wall Motor) ซึ่งเผยรายงานให้เห็นว่า ต้นทุนเชื้อเพลิงที่ต่ำกว่าของรถยนต์ไฟฟ้าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนไทยหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จากการสำรวจพบว่า 34.1% ของผู้ที่เปลี่ยนมาใช้รถ EV ระบุว่าต้นทุนเชื้อเพลิงที่ต่ำกว่าเป็นเหตุผลหลัก ในขณะเดียวกัน 81.3% ของผู้ใช้รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปแสดงความสนใจที่จะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า และ 89.4% ระบุว่าต้นทุนเชื้อเพลิงที่ต่ำกว่าคือแรงจูงใจหลัก

ณัฐดนย์ สุขศิริฐานันท์ ผู้จัดการประจำโบลท์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในโอกาสวันปลอดรถโลก เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นการเติบโตอย่างมากในหมวด Green ของโบลท์ แม้ว่าการลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวทั้งหมดจะถือเป็นเป้าหมายระยะยาว แต่ความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะนำพาเราไปสู่อนาคตที่สะอาดและปลอดมลพิษมากขึ้น ความสำเร็จนี้สะท้อนให้เห็นถึงการตระหนักรู้ของผู้ใช้บริการที่หันมาเลือกการเดินทางแบบใช้พลังงานไฟฟ้าและไฮบริด อีกทั้งยังชี้ให้เห็นถึงความพร้อมของคนไทยที่ไม่เพียงแต่เลือกใช้ทางเลือกที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ แต่ยังสนับสนุนการใช้บริการเดินทางแบบร่วมกัน (Shared Mobility) มากขึ้นอย่างชัดเจน แนวโน้มนี้บ่งชี้ถึงศักยภาพในการเติบโตของบริการเดินทางแบบร่วมกัน และตอกย้ำความต้องการทางเลือกการเดินทางที่หลากหลายและเข้าถึงได้ง่าย เรายังคงมุ่งมั่นในการขยายโครงการปลอดมลพิษอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มทางเลือกการเดินทางที่ปล่อยคาร์บอนต่ำรวมถึงทางเลือกไฮบริดสำหรับการขนส่งในเมือง และยังคงสื่อสารกับผู้ขับขี่เพื่อทำความเข้าใจถึงความท้าทายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานและต้นทุนของรถยนต์ไฟฟ้า"


ประเทศไทยมีความมุ่งมั่นที่ชัดเจนที่จะลดการปล่อยคาร์บอนหรือก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานและการขนส่งลง 7-20% จากระดับปกติ โดยตั้งเป้าหมายลดลงให้ได้ 20-25% ภายในปี 2573 ข้อมูลในปี 2566 ระบุว่ามีรถยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนมากกว่า 75,000 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 18.4% เมื่อเทียบกับปี 2548 และในช่วงต้นปี 2567 มีการจดทะเบียนเพิ่มขึ้นอีก 11.6% เมื่อเทียบกับปี 2566  ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (TTB Analytics) ระบุว่าอัตราการใช้งานรถ EV ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาจากค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงที่ถูกกว่ารถสันดาปภายในหรือไฮบริดถึง 59-67% สะท้อนถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นในหมู่ผู้ใช้ชาวไทยที่หันมาเลือกใช้ยานพาหนะไฟฟ้ามากขึ้น

หมวด Green ของโบลท์ เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการขนส่งในเมือง ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารที่เลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของโบลท์ในการสร้างเมืองที่น่าอยู่ยิ่งขึ้น ด้วยทางเลือกการเดินทางที่ประหยัดและใช้พลังงานสะอาด

โบลท์ยังคงมุ่งมั่นในการขยายหมวดรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด รวมถึงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนการขนส่งในเมืองที่ปลอดมลพิษอย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวสู่อนาคตที่ปลอดการปล่อยมลพิษ สร้างเมืองที่สะอาดยิ่งขึ้น พร้อมกับส่งเสริมการขนส่งอย่างยั่งยืน