“มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41” โปรโมชันที่คัดสรรมาฝากชาว adslthailand ตั้งแต่ 29 พฤศจิกายน - 10 ธันวาคม 2567
เรเว่ ยกทัพ NEV บุคคลและพาณิชย์จากบีวายดี และรถหรูจากเดนซ่า พร้อมเปิดตัว BYD SEALION 7 และเผยโฉม BYD SHARK 6
BYD ATTO 3 ผลิตในประเทศ รุ่น Dynamic ราคาขายปลีกแนะนำ 759,900 บาท และรุ่น Extended ราคาขายปลีกแนะนำ 899,900 บาท
BYD DOLPHIN รุ่น Standard Range ราคาขายปลีกแนะนำ 569,900 และรุ่น Extended Range ราคาขายปลีกแนะนำ 709,900 บาท
BYD SEAL รุ่น Dynamic ราคาขายปลีกแนะนำ 999,900 บาท, รุ่น Premium ราคาขายปลีกแนะนำ 1,099,900 บาท และรุ่น AWD Performance ราคาขายปลีกแนะนำ 1,199, 900 บาท
BYD SEALION 6 DM-i รุ่น Dynamic ราคาขายปลีกแนะนำ 969,900 บาท และรุ่น Premium ราคาขายปลีกแนะนำ 1,069,900 บาท
BYD M6 7 ที่นั่ง รุ่น Dynamic ราคาขายปลีกแนะนำ 799,900 บาท และรุ่น Extended ราคาขายปลีกแนะนำ 899,900 บาท
พร้อมทั้งเผยโฉม BYD SHARK 6 กระบะขุมพลัง Plug-in Hybrid อย่างเป็นทางการครั้งแรกในไทย ร่วมด้วยการจัดแสดงยานยนต์สมรรถนะเหนือชั้นรวมทั้งสิ้น 27 คัน ใน 3 บูธ ให้ชาวไทยได้สัมผัสความล้ำสมัยของนวัตกรรมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน พร้อมทั้งจัดเต็มข้อเสนอและของสมนาคุณสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับลูกค้าที่จองรถภายในงานระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2567 เท่านั้น!
สำหรับบูธ “บีวายดี” จัดแสดงรถยนต์พลังงานใหม่ 7 รุ่น ประกอบด้วย BYD ATTO 3, BYD DOLPHIN, BYD SEAL, BYD M6, BYD SEALION 6, BYD SEALION 7 และ BYD SHARK 6 ขณะที่บูธ “เดนซ่า” นำเสนอผลิตภัณฑ์ระดับลักชัวรี 3 รุ่น คือ DENZA D9, DENZA N7 และ DENZA Z9 GT ส่วนบูธ “เรเว่ คอมเมอร์เชียล วีฮิเคิลส์” นำยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ภายใต้แบรนด์บีวายดีมาอวดโฉม 4 รุ่น ได้แก่ BYD Q3B, BYD eMIXER, BYD T3 และ BYD eBUS
หลิว เสวียเลี่ยง ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายขาย ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท บีวายดี ออโต้ อินดัสทรี จำกัด กล่าวว่า “ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่มุ่งมั่นสร้างนวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต บีวายดีมีความยินดีที่ได้ผนึกพลังอีกครั้งกับพันธมิตรระยะยาวอย่างเรเว่ในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 41 ซึ่งเป็นโอกาสพิเศษยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมากับการรังสรรค์พื้นที่จัดแสดงถึง 3 บูธ เพื่อนำเสนอยานยนต์พลังงานทางเลือกใหม่จากทั้ง
บีวายดี เดนซ่า และคอมเมอร์เชียล วีฮิเคิลส์ ให้ผู้บริโภคชาวไทยได้ยลโฉมและพิจารณาเลือกซื้ออย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งฉายภาพระบบนิเวศยานยนต์พลังงานทางเลือกใหม่ของเราที่ครอบคลุมทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและยานพาหนะเชิงพาณิชย์ให้เป็นที่ประจักษ์อีกด้วย”
ประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “ปี 2567 เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญสำหรับกลุ่มธุรกิจเรเว่ที่ได้สานต่อวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ ‘NEW ENERGY FOR ALL’ ที่มุ่งขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ NEV Nation ผ่านการนำเสนอยานยนต์พลังงานใหม่หลากหลายรุ่นให้แก่ผู้บริโภค โดยมีบีวายดีเป็นแบรนด์เรือธงที่ยังคงทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องสวนทางตลาด การันตีด้วยอัตราการเติบโต 7% ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่แบรนด์เดนซ่าซึ่งเข้าสู่ตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนก็ได้สร้างปรากฏการณ์ด้วยการกวาดยอดจองโมเดลแรกคือ DENZA D9 ถึง 823 คันหลังเปิดตัวเพียง 3 วัน สะท้อนความต้องการของผู้บริโภคและตอกย้ำความเป็นผู้นำของเรเว่ในตลาดประเทศไทย เราเชื่อว่าการเปิดตัวและประกาศราคา BYD SEALION 7 รวมถึงการเผยโฉม BYD SHARK 6 ในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 41 นี้ จะสร้างความคึกคักให้กับอุตสาหกรรมและมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปี”
ประธานพร พรประภา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “ผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพในทั้ง 3 บูธของเราจะมอบความประทับใจให้กับผู้มาเยี่ยมชมทุกท่าน โดยนอกเหนือจากการนำเสนอยานยนต์คุณภาพภายใต้แบรนด์บีวายดีและเดนซ่า ให้กับผู้บริโภคชาวไทยตามแผนการขยายธุรกิจอย่างรอบด้านที่ได้เคยประกาศไว้ เรเว่จะยังคงมุ่งมั่นสร้างสรรค์บริการทั้งด้านการขายและหลังการขายให้ดียิ่งขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์เหนือระดับให้กับลูกค้า ควบคู่ไปกับการเพิ่มจำนวนโชว์รูมและศูนย์บริการให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อเติมเต็มความพร้อมให้กับระบบนิเวศและช่วยให้ผู้บริโภคชาวไทยรู้สึกมั่นใจที่จะพิจารณาเลือกใช้ยานยนต์พลังงานใหม่มากขึ้น ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่อนาคตที่สะอาดและยั่งยืนสำหรับทุกคน”
สัมผัสยานยนต์พลังงานทางเลือกใหม่เพื่อโลกยั่งยืนที่บูธ “บีวายดี”
บูธ “บีวายดี” ภายใต้แนวคิด “Futuristic Green Mobility” โลกแห่งอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จัดเต็มไฮไลต์สุดพิเศษในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 41 กับการเปิดตัว BYD SEALION 7 และการเผยโฉม BYD SHARK 6 อย่างเป็นทางการ
BYD SEALION 7 ที่สุดของประสบการณ์การขับขี่แบบสปอร์ตรักษ์โลก
BYD SEALION 7 สร้างนิยามใหม่ให้กับรถยนต์กลุ่ม C-SUV ด้วยการผสานดีไซน์สปอร์ตเข้ากับความหรูหราอย่างลงตัว โดดเด่นด้วยรูปทรงแบบ Fastback และฐานล้อต่ำให้ภาพลักษณ์โฉบเฉี่ยว มอบประสบการณ์เหนือชั้นด้วยระบบส่งกำลังอัจฉริยะ 8 in 1 พร้อมเทคโนโลยีการประกอบแบตเตอรี่แบบ Cell-to-Body และระบบห้องโดยสารอัจฉริยะ BYD Intelligent Cockpit
ดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากมหาสมุทร
รูปโฉมภายนอกของ BYD SEALION 7 ได้รับแรงบันดาลใจจากความพลิ้วไหวของสายน้ำและมวลอากาศ โดยด้านหน้ารถโดดเด่นด้วยดีไซน์ "Ocean X" กับรูปทรงตัว "X" ที่สะท้อนถึงความล้ำสมัยและทรงพลัง ไฟหน้าดีไซน์ "Double U" อันเป็นเอกลักษณ์ เสา A-pillar ที่ลาดเอียงเชื่อมต่อกับหลังคาแบบ Fastback อย่างไร้รอยต่อ พร้อมสปอยเลอร์หลังที่ผสานเข้ากับตัวรถอย่างลงตัว ให้ความรู้สึกสปอร์ตแบบรถ SUV Coupe ฝากระโปรงท้ายรูปทรงสี่เหลี่ยมคางหมูเสริมความดุดัน ไฟท้ายทรงหยดน้ำแบบไดนามิกวางตัวในแนวนอนช่วยเพิ่มมิติความกว้างให้กับตัวรถ พร้อมไฟเบรกดวงที่สาม และการตกแต่งด้วยโครเมียม เสริมความหรูหราด้วยรายละเอียดไฟ Dot-Matrix ภายในไฟหน้าและไฟท้ายให้ความสะดุดตาเมื่อส่องสว่างบนท้องถนน
หรูหรา สะดวกสบาย ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว
ภายในห้องโดยสารของ BYD SEALION 7 ตกแต่งด้วยวัสดุสัมผัสนุ่มระดับพรีเมียมกว่า 80% ไม่ว่าจะเป็นคอนโซลหน้า คอนโซลกลาง และแผงประตู เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังแท้ Nappa ระบบกันเสียงรบกวนที่เหนือชั้นด้วยกระจกอะคูสติกสองชั้น พร้อมฟิล์ม PVB Resin ในกระจกบังลมหน้า พรมปูพื้นอะคูสติกแบบไร้รอยต่อ วัสดุฉนวนกันเสียงรอบคัน ซุ้มล้อบุวัสดุกันเสียง และฉนวนกันเสียงรอบมอเตอร์ ทั้งยังครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสบายมากมาย อาทิ เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางและที่พักขาปรับไฟฟ้า 2 ทิศทาง พร้อมปรับดันหลังไฟฟ้า 4 ทิศทาง ระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่ง และ Welcome Seat เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง เบาะนั่งคู่หน้าพร้อมระบบระบายอากาศ กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้าพร้อมระบบไล่ฝ้า กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ ระบบกรองอากาศ PM 2.5 ระดับ CN95 พร้อมระบบ IONIZER หน้าจอเรือนไมล์ผู้ขับขี่แบบ LCD 3 มิติ ขนาด 10.25 นิ้ว หน้าจอสัมผัสระบบมัลติมีเดียขนาด 15.6 นิ้ว ระบบแสดงผลบนกระจกหน้า (W-HUD) ระบบเครื่องเสียง DYNAUDIO ลำโพง 12 ตำแหน่ง หลังคา Panoramic Glass Roof ช่วยลดความร้อนและกรองแสง UV กระจกบังลมหน้าและกระจกหน้าต่างด้านหน้าแบบเก็บเสียง กระจกส่วนตัวสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ไฟ Ambient Light ภายในห้องโดยสาร 128 สี ทั้งหมดนี้ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบและผ่อนคลายภายในห้องโดยสาร
ทรงพลัง แต่ยังคงความนุ่มนวล
BYD SEALION 7 มอบประสบการณ์การขับขี่ที่สมดุลทั้งความแม่นยำและความนุ่มนวลขณะขับขี่ มาพร้อมขุมพลัง Blade Battery ความจุ 82.5 กิโลวัตต์-ชั่วโมง มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 390 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 690 นิวตัน-เมตร และระยะทางวิ่งสูงสุด 542กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบ Double Wishbone และด้านหลังแบบ Multi-link ทำงานร่วมกับระบบกันสะเทือนปรับอัตโนมัติตามความเร็วแบบ FSD (Frequency Selective Damping) ที่ปรับระดับความหนืดของโช้คอัพอัตโนมัติตามสภาพถนน
BYD SHARK 6 รถปิคอัพสมรรถนสูง พร้อมอวดโฉมแล้ววันนี้
BYD SHARK 6 ยกระดับรถกระบะแบบ Double Cab 5 ที่นั่งให้พร้อมรับมือทุกความท้าทาย ด้วยการผสานความสะดวกสบายเข้ากับความอเนกประสงค์ที่เหนือชั้น ตอบโจทย์ทุกการใช้งานทั้งการขับขี่ในชีวิตประจำวัน การบรรทุกสัมภาระ การลากจูง และการผจญภัยแบบออฟโรด
โครงสร้างแข็งแกร่ง ปลอดภัย ไม่เป็นรอง
โครงสร้างตัวถังของ BYD SHARK 6 ผลิตจากเหล็กความแข็งแก่รงสูงมากถึง 78% มอบความแข็งแกร่งและความทนทานที่เหนือกว่าพร้อมลดน้ำหนักตัวรถ ส่งผลให้มีเสถียรภาพการทรงตัวและการควบคุมรถที่ดียิ่งขึ้น มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ขนาดยาง 265/65 R18 ระบบช่วงล่างด้านหน้าและด้านหลัง แบบปีกนกคู่ท และดิสก์เบรกแบบมีครีบระบายความอากาศ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวลและมั่นคง
ห้องโดยสารที่ทั้งอัจฉริยะและสะดวกสบาย
ห้องโดยสารของ BYD SHARK 6 มาพร้อม หน้าจอเรือนไมล์ผู้ขับขี่แบบ LCD ขนาด 10.25 นิ้ว หน้าจอสัมผัสระบบมัลติมีเดียขนาด 15.6 นิ้ว และระบบแสดงผลบนกระจกหน้า (W-HUD) เบาะนั่งผู้ขับขี่ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมระบบพนักพิงดันหลัง 4 ทิศทาง กระจกหน้าต่างคู่หน้าแบบกันเสียงและกระจกส่วนตัวสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง เพิ่มความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบาย จัดเต็มกับระบบเสียง DYNAUDIO ซึ่งเป็นระบบเครื่องเสียงระดับพรีเมียม ลำโพง 12 ตำแหน่ง ให้ประสบการณ์เสียงที่สมบูรณ์แบบ
ขุมพลังเหนือชั้น รองรับการใช้งานได้หลากหลาย
BYD SHARK 6 สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม DM-O ที่ล้ำสมัย มาพร้อมระบบขับเคลื่อนแบบปลั๊กอินไฮบริดอันทรงพลัง เครื่องยนต์ 1.5L ทำงานร่วมกับระบบ EHS และมอเตอร์ไฟฟ้า 3 in 1 ที่ติดตั้งด้านหลัง ให้กำลังรวมสูงสุด 321 กิโลวัตต์ และแรงบิดรวมสูงสุด 650 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใช้เวลาเพียง 5.7 วินาที และใช้ BYD Blade Battery ความปลอดภัยสูง ความจุแบตเตอรี 29.58 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ให้ระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าสูงสุด 100 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ พร้อมระบบกระจายแรงบิดแบบเรียลไทม์ มั่นใจได้ถึงการส่งกำลังที่เหมาะสมและการควบคุมที่แม่นยำในทุกสภาพถนน สามารถลากจูงได้สูงสุด 2,500 กิโลกรัม และรับน้ำหนักบรรทุกได้ถึง 790 กิโลกรัม ทั้งยังตอบโจทย์สายออฟโรดด้วยศักยภาพการปีนไต่ทางลาดชันได้สูงสุด 60% มุมปะทะ 31 องศา และลุยน้ำได้ลึกสูงสุด 700 มิลลิเมตร
ยลโฉมยนตรกรรมแห่งความหรูหราเหนือระดับที่บูธ “เดนซ่า”
บูธ “เดนซ่า” เสนอแนวคิด "Luxury Oasis" ที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์ระดับไฮเอนด์และสุนทรียะแห่งความสง่างาม โดยจัดแสดงรถยนต์พลังงานไฟฟ้าระดับลักชัวรี่ที่ถึง 3 รุ่น ได้่แก่
DENZA N7
รถครอสโอเวอร์ (Crossover) พลังงานไฟฟ้าดีไซน์ล้ำสมัย โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์แบบ Fastback Coupe พัฒนาบน e-Platform 3.0 พร้อมเทคโนโลยีอันก้าวล้ำ ทั้งระบบแบตเตอรี่แบบ CTB (cell-to-body) และระบบควบคุมแรงบิดอัจฉริยะ iTAC (Intelligence Torque Adaptation Control System) มาพร้อมดีไซน์หรูหรา กระจังหน้าแบบปิด ไฟหน้าดีไซน์แยกส่วน พร้อมไฟ DRL รูปแบบ Diamond Arrow และเซ็นเซอร์ LiDAR บริเวณกันชนหน้า ด้านข้างโดดเด่นด้วยมือจับประตูแบบซ่อนและเส้นโครเมียมรอบกรอบกระจก ยิ่งไปกว่านั้น N7 ยังรองรับเทคโนโลยีการชาร์จเร็วแบบ Dual-gun ที่สามารถชาร์จพร้อมกันสองพอร์ตด้วยเครื่องชาร์จเดียวด้วยกำลังไฟสูงสุดถึง 230 kW เพื่อการชาร์จที่รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยแบตเตอรี่มีความจุ 91.392 กิโลวัตต์ ให้ระยะทางการวิ่งที่ไกลสูงสุดถึง 702 ตามมาตรฐาน CLTC
DENZA Z9 GT
รถแฮทช์แบ็กทรงสปอร์ตระดับพรีเมียมและเป็นเรือธงรุ่นล่าสุดจากแบรนด์เดนซ่า โดดเด่นด้วยดีไซน์โฉบเฉี่ยว ดุดัน เน้นหลักอากาศพลศาสตร์ มีให้เลือกทั้งแบบรถยนต์ไฟฟ้าล้วนที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% บนแพลตฟอร์ม Intelligent e3 platform มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ที่ขับเคลื่อนล้อหลังอิสระซ้ายและขวาที่สามารถปรับทิศทางของล้อหลังที่ช่วยให้การบังคับรถได้อิสระมากยิ่งขึ้น มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบ พร้อม Blade Battery 800V แบบปลั๊กอินไฮบริดที่ผสานพลังเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบ พร้อมระยะทางวิ่งรวมสูงสุด 1,100 กม. ตามมาตรฐาน CLTC เสริมด้วยระบบช่วงล่างแพลตฟอร์ม DiSus-A ช่วงล่างถุงลมไฟฟ้าอัจฉริยระที่สามารถปรับระดับความนุ่มนวลและความสปอร์ตของช่วงล่างได้อย่างอิสระ อีกทั้งยังมาพร้อมกับระบบความสบายภายในห้องโดยสารและระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะอีกมากมาย อาทิ เช่น ระบบปรับเบาะให้รองรับสรีระเมื่อเข้าโค้ง ระบบตู้เย็นที่สามารถทำความเย็นจนถึง 0 องศา ภายใน 4.5 นาที AR-HUD หน้าจอสัมผัสมัลติมีเดียเฉพาะสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า ฯลฯ
DENZA D9
รถตู้อเนกประสงค์ (MPV) ที่มาพร้อมดีไซน์ซึ่งสะท้อนความโมเดิร์นและความหรูหรา เทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน รวมถึงระบบความปลอดภัยและระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ มอบประสบการณ์อันเป็นเอกลักษณ์และความมั่นใจให้กับทุกการเดินทาง มาพร้อมกับสมรรถนะอันเป็นเลิศจากมอเตอร์ไฟฟ้าทรงพลังที่ให้กำลังสูงสุดถึง 275 กิโลวัตต์ และแรงบิดสูงสุด 470 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนด้วยพลังงานจาก BYD Blade Battery ขนาด 103.36 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 580 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC โดยเรเว่ ออโตโมทีฟ ภายใต้กลุ่มธุรกิจเรเว่ได้เปิดตัว DENZA D9 อย่างเป็นทางการไปเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา พร้อมทั้งประกาศราคาจำหน่ายแนะนำสำหรับ 2 รุ่นย่อย ได้แก่ DENZA D9 Performance AWD ราคา 2,699,900 บาท และ DENZA D9 Premium ราคา 1,999,900 บาท ซึ่งเป็นราคาพิเศษเฉพาะผู้ที่จองตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 - 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 และรับรถภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 เท่านั้น
ชมนวัตกรรมยานยนต์เพื่อการพาณิชย์และร่วมกิจกรรมพิเศษที่บูธ “เรเว่ คอมเมอร์เชียล วีฮิเคิลส์”
ครั้งแรกของเรเว่ คอมเมอร์เชียล วีฮิเคิลส์ ภายใต้กลุ่มธุรกิจเรเว่ ที่มาร่วมจัดแสดงในงานมหกรรมยานยนต์ โดยนำเสนอยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ 4 รุ่น ประกอบด้วย
BYD Q3B
รถหัวลากพลังงานไฟฟ้า 100% มาพร้อมเทอร์มินอลไฟฟ้าแทรคเตอร์สูงสุด 75,000 กก. GCW MAXให้ระยะทางสูงสุด 200 กม. ต่อหนึ่งรอบการชาร์จ แรงบิดสูงสุด 90 นิวตันเมตร และช่วงล่างกันสะเทือน
BYD eMIXER
รถผสมคอนกรีตไฟฟ้าที่มาพร้อมกับห้องโดยสารซึ่งสามารถปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้าและไฮดรอลิก กระจกไฟฟ้าและเบาะคนขับสามารถปรับระดับได้ด้วยระบบไฮดรอลิก โช้คอัพ แผงหลังคาสามารถปรับได้ พวงมาลัยปรับระดับได้ ระบบกันสะเทือนและเหล็กกันโคลง ครบที่สุด สำหรับ BYD eMixer
BYD T3
รถตู้ไฟฟ้าสำหรับงานเชิงพาณิชย์โดยเฉพาะ ตอบโจทย์การขนส่งในเมืองด้วยดีไซน์ที่กะทัดรัด คล่องตัว รองรับน้ำหนักของสินค้าได้กว่า 799 กิโลกรัมบนพื้นที่ความจุ 3,800 ลิตร เสริมด้วยแผ่นรองพื้นอลูมิเนียมอัลลอย ที่มีลักษณะพื้นผิวกันลื่น เพื่อความทนทานและความปลอดภัย ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 100 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 180 นิวตัน-เมตร มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปราศจากมลพิษและเสียงรบกวน มาพร้อม Blade Battery ความจุ 44.9 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ให้ระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าสูงสุด 280 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTC
BYD eBUS
รถบัสไฟฟ้า 100% สำหรับการขนส่งสาธารณะ ภายในกว้างขวางรองรับผู้โดยสารได้ถึง 42 คน ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ให้กำลังสูงสุด 125 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 550 นิวตัน-เมตร ทำความเร็วได้สูงสุด 80 กม./ชม. และสามารถขึ้นทางลาดชันได้ถึง 25% มาพร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอรอนฟอสเฟตขนาด 348 กิโลวัตต์ชั่วโมง วิ่งได้ระยะทางมากกว่า 250 กม. ที่ความเร็วคงที่ 40 กม./ชม. และรองรับการชาร์จเร็วแบบ DC 100 กิโลวัตต์ ใช้เวลาชาร์จเพียง 3-3.5 ชั่วโมง
ผู้ที่จองรถบีวายดี เดนซ่า และยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ทุกรุ่น พบกับบีวายดีและเดนซ่าได้ที่บูธ A06 และเรเว่ คอมเมอร์เชียล วีฮิเคิลส์ ที่บูธ R03 อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2567 เวลา 12.00 – 22.00 น. (วันธรรมดา) และ 11.00 – 22.00 น. (วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ)
เปิดตัวแล้ว NEW MAZDA CX-5 Togetherness Redefined ครอสโอเวอร์เอสยูวีสำหรับครอบครัวยุคใหม่ ราคาเพียง 1 ล้านต้น
มาสด้าเปิดตัว New Mazda CX-5 ครอสโอเวอร์เอสยูวีรุ่นใหม่ล่าสุดที่ครบครันสมบูรณ์แบบในทุกด้าน ในราคาสุดคุ้มสำหรับผู้ที่มองหารถเอสยูวีเพื่อครอบครัว โดดเด่นด้วยดีไซน์ใหม่รอบคัน กระจังหน้าใหม่ ไฟหน้าและไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่ ชุดตกแต่งคิ้วข้างประตูใหม่ ล้ออัลลอยและท่อไอเสียดีไซน์ใหม่ และสีภายนอกใหม่มีให้เลือกเพิ่มถึง 2 สี ในขณะที่ภายในหรูหราพรีเมี่ยม ด้วยการเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง พร้อมเพิ่มเทคโนโลยีความสะดวกสบายมาให้อย่างครบครันตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น อาทิ Sports Paddle Shift และ Wireless Apple CarPlay ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบแฮนด์ฟรี ขับนุ่มสบายขึ้นกับช่วงล่างใหม่ ลดการสั่นสะเทือน ทรงตัวดีเยี่ยม วางจำหน่าย 3 รุ่นย่อย ราคาเริ่มต้นเพียง 1,219,000 บาท พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ อาทิ ดอกเบี้ยต่ำสุด 2.49%* ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี* ฟรีโปรแกรมบำรุงรักษารถ 5 ปี* หรือ ส่วนลดสูงสุด 50,000 บาท* ลูกค้า Mazda Family รับเพิ่มบัตรเติมน้ำมัน 30,000 บาท พบกันได้แล้ววันนี้ ที่งานมอเตอร์ เอ็กซ์โป และที่โชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศ พร้อมส่งมอบรถใหม่ให้กับลูกค้าทันที
New Mazda CX-5 มาพร้อมแนวคิด “Togetherness Redefined นิยามใหม่ของความสุขในแบบคุณ” ครอสโอเวอร์สำหรับครอบครัวยุคใหม่ (New Gen Family) ที่นิยามความหมายของคำว่าครอบครัวได้ตามต้องการ เน้นการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์รูปแบบต่างๆ ร่วมกันบนความหลากหลาย เพื่อให้ตนเองและครอบครัวได้แชร์ประสบการณ์และช่วงเวลาที่มีความสุขร่วมกัน รวมถึงนิยามความสำเร็จในการใช้ชีวิตในแบบของตนเอง ดังนั้น New Mazda CX-5 จึงเป็นยนตรกรรมอเนกประสงค์ที่ครบครันทั้งดีไซน์สง่างามและความสะดวกสบายมากมาย มาพร้อมเทคโนโลยีที่ช่วยในการขับขี่และระบบความปลอดภัยที่ทันสมัย ตอบโจทย์ทุกการเดินทางและการใช้ชีวิตของครอบครัวในยุคปัจจุบัน การเปิดตัว New Mazda CX-5 ในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้ที่กำลังมองหาครอสโอเวอร์เอสยูวีที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานของครอบครัวได้อย่างลงตัว
New Mazda CX-5 ครอสโอเวอร์เอสยูวีที่มาพร้อมความครบครัน ตอบโจทย์การใช้งานในทุกมิติของการใช้ชีวิต เติมเต็มความสุขในทุกการเดินทางของสมาชิกทุกคนในครอบครัว สัมผัสความสมบูรณ์แบบที่ถูกพัฒนาอย่างปราณีต ดีไซน์ภายนอกใหม่ให้ความสปอร์ตพรีเมี่ยม สะท้อนเอกลักษณ์แห่งตัวตนผ่านสุนทรียศาสตร์สไตล์ญี่ปุ่น จากแนวคิด Kodo: Soul of Motion เรียบง่าย ทรงพลัง ลงตัวเป็นหนึ่งเดียว โดดเด่นอย่างมีรสนิยมด้วยดีไซน์ใหม่รอบคัน
ภายในห้องโดยสาร มาสด้าให้การเอาใจใส่ในทุกรายละเอียดของการใช้ชีวิตของสมาชิกทุกคนในครอบครัวไปด้วยกัน ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเสมือนงานทำมือ คัดสรรเฉพาะวัสดุคุณภาพสูงเท่านั้น จัดวางอุปกรณ์และฟังก์ชั่นการใช้งานในตำแหน่งที่เหมาะสมตามปรัชญา Human-Machine Interface เชื่อมต่อโลกการสื่อสารแบบไร้ขีดจำกัด ผ่านระบบ Mazda connect
นอกจากนี้ มาสด้ายังได้นำยนตรกรรมครบทุกรุ่นมาจัดแสดงให้ลูกค้าได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด ทั้งรถยนต์นั่ง รถสปอร์ตโรดสเตอร์ รถครอสโอเวอร์เอสยูวี CX-Series รถยนต์รุ่นใหม่ที่เปิดตัวแนะนำในงานนี้ มาจัดแสดงภายในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป พร้อมมอบข้อเสนอพิเศษมากมาย อาทิ ดอกเบี้ยพิเศษ ฟรีประกันชั้น 1 Mazda Premium Insurance ฟรีโปรแกรมบำรุงรักษารถ 5 ปี ส่วนลดเงินสด และมอบฟรีข้อเสนอสุดเอ็กซ์คลูซีฟ สำหรับลูกค้า Mazda Family โดยมีรายละเอียดดังนี้
ลูกค้าที่สนใจสามารถเข้าชมยนตรกรรมมาสด้ารุ่นใหม่ New Mazda CX-5 และยนตรกรรมทุกรุ่น ได้ที่บูธมาสด้าในงาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย. 67 – 10 ธ.ค. 67 และที่โชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศ
หมายเหตุ:
*เงื่อนไขแคมเปญของรถยนต์ทุกรุ่นเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด โปรดศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.mazda.co.th หรือสอบถามเพิ่มเติมจากที่ปรึกษาการขายรถยนต์มาสด้าที่บูธรถยนต์มาสด้าหรือที่โชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศ
เงื่อนไขเพิ่มเติม ;
มาสด้าเปิดตัวปิกอัพใหม่ BOLD NEW MAZDA BT-50 ที่แรกของโลก
ดีไซน์แกร่งดุดันสไตล์ญี่ปุ่น สง่างามทุกมุมมอง เครื่องยนต์ใหม่ เกียร์ใหม่
มาสด้าออกสตาร์ทกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี พร้อมพลิกสถานการณ์โหมตลาดรถยนต์ไทยให้กระหึ่ม เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ 2 รุ่นรวด ในงาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป ทั้ง ครอสโอเวอร์เอสยูวี New Mazda CX-5 และปิกอัพรุ่นใหม่ล่าสุด Bold New Mazda BT-50 ที่แรกของโลก ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ใส่เทคโนโลยีแห่งอนาคต มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “Dignity into Power พลังแกร่ง สะท้อนตัวตน” ฉีกกฎภาพลักษณ์แบบเดิม ๆ เติมความแกร่ง ดุดัน หรูหรา สง่างาม พรีเมี่ยมทุกจุดสัมผัส ตามแนวทางการออกแบบ โคโดะ ดีไซน์ ที่เรียบง่ายแต่งดงามและทรงพลัง
สมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้นกับเครื่องยนต์ขุมพลังใหม่ล่าสุด เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.2 ลิตร ให้พละกำลังแรงสุด 163 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด สมรรถนะแรงขึ้น ประหยัดน้ำมันมากขึ้น แข็งแรง ทนทาน ดูแลรักษาง่าย และเครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 3.0 ลิตร ให้พละกำลังแรงสุด 190 แรงม้า สมรรถนะแรงทรงพลังสมบุกสมบันพร้อมลุยไปได้ทุกที่ ออปชั่นเต็มคันในสไตล์ที่คนขับปิกอัพยุคใหม่ต้องการ เพิ่มเทคโนโลยีความสะดวกสบายและความปลอดภัยใส่มาแบบครบครัน ราคาจำหน่ายเริ่มต้นเพียง 7 แสนกว่าบาท ในรุ่นขับ 2 แบบยกสูง หรือ FSC 2.2 XS HI-RACER 6MT จองวันนี้ รับข้อเสนอสุดพิเศษช่วงเปิดตัว ดอกเบี้ย 1.99%1 ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปี2 หรือ ส่วนลดสูงสุด 55,000 บาท3 และฟรีบัตรน้ำมันมูลค่า 10,000 บาท4 พิเศษสำหรับลูกค้า Mazda Family รับฟรีบัตรน้ำมัน 30,000 บาท4 ผู้สนใจสามารถเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ที่งาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป และที่โชว์รูมมาตรฐานมาสด้าทั่วประเทศ
ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การเปิดตัว Bold New Mazda BT-50 ในประเทศไทยครั้งนี้นับว่ามีความสำคัญยิ่ง เนื่องจาก มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ให้ความสำคัญต่อฐานการผลิตและส่งออกในประเทศไทย เลือกประเทศไทยเพื่อแนะนำและวางจำหน่ายที่แรกของโลก มาพร้อมความสดใหม่หลากหลายด้าน โดยเฉพาะการออกแบบที่มาสด้าบรรจงสรรสร้างอย่างพิถีพิถัน สวยสง่างามจาก โคโดะ ดีไซน์ ภายในเพิ่มความหรูหราพรีเมี่ยมอีกระดับ ภายนอกแข็งแกร่งดุดันในสไตล์ญี่ปุ่น มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลใหม่ล่าสุด ขนาด 2.2 ลิตร และเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ให้พละกำลังแรงขึ้น แต่ประหยัดน้ำมันมากขึ้น รวมถึงการใส่อุปกรณ์เพิ่มมากขึ้น ใส่ระบบอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มาให้อย่างครบครัน โดยรวมเอาจุดเด่นสำคัญ ๆ ของรถมาสด้า มาผนวกเข้ากับจุดแข็งที่เกิดจากความร่วมมือกับพันธมิตร ทำให้กลายเป็นรถปิกอัพที่มีความสมดุลในทุก ๆ ด้านอย่างลงตัว ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่มองหารถกระบะที่ให้ทั้งสมรรถนะสูงแรงและดีไซน์ที่โดดเด่นแบบมีเอกลักษณ์เฉพาะ สามารถใช้งานได้ทั้งในเมืองและนอกเมือง หรือการเดินทางไปทำกิจกรรม Outdoor ที่ต้องการทั้งสมรรถนะและความอเนกประสงค์ของรถปิกอัพเพื่อตอบสนองการใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ
แม้มาสด้าจะมีรถยนต์หลากหลายรุ่นวางจำหน่ายในตลาด แต่รถปิกอัพเป็นหนึ่งในโมเดลสำคัญ ถือกำเนิดขึ้นจากเมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น มาตั้งแต่ปี 1961 คือ มาสด้า B1500 บี-ซีรีส์ ซึ่งรุ่นนี้เปรียบเสมือนจุดกำเนิดของยานพาหนะที่ตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด ช่วยให้ทุกช่วงเวลาบนท้องถนนเต็มไปด้วยความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ให้ความสำคัญสูงสุดกับตลาดประเทศไทย และประเทศไทยคือฐานการผลิตและส่งออกรถยนต์และรถปิกอัพที่ใหญ่สุดของมาสด้า ดังนั้น การเปิดตัว Bold New Mazda BT-50 แห่งแรกของโลก โดยเฉพาะคนไทยจะได้เป็นเจ้าของคนแรก การเปิดตัวปิกอัพ Bold New Mazda BT-50 “Dignity into Power” จะเป็นการกลับมาอีกครั้งแบบ Revolutionary Change เพื่อสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญให้ตลาดรถปิกอัพเมืองไทย ด้วยเอกลักษณ์อันโดดเด่น ด้วยสไตล์ที่แตกต่าง สง่างามทรงพลังทุกมุมมอง จากการออกแบบของ โคโดะ ดีไซน์ จะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้พบเห็นจากการผนวกคุณสมบัติที่ดีที่สุดของรถปิกอัพ ด้วยจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมาสด้า ผสานอย่างลงลงตัวกับจุดเด่นที่ดีที่สุดจากความร่วมมือกับพันธมิตร
Bold New Mazda BT-50 มาพร้อมแนวคิด “Dignity into Power พลังแกร่ง สะท้อนตัวตน” ดึงเอาความแข็งแกร่ง ความเป็นตัวตนที่แท้จริง ที่ซ่อนอยู่ภายในตัวคุณให้ออกมาโลดแล่นบนเส้นทางของการใช้ชีวิตที่ไร้ลิมิต เป็นการนำเสนอรถปิกอัพที่มีภาพลักษณ์ แกร่ง เข้ม ดุดัน เหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่มองหาปิกอัพที่มาพร้อมอรรถประโยชน์การใช้งานด้วยปิกอัพที่มีสมรรถนะสูง แต่ก็ยังต้องการปิกอัพที่มีดีไซน์สง่างามสไตล์ญี่ปุ่น โดยที่ไม่ซ้ำแบบใคร เพื่อสะท้อนถึงบุคลิกอันโดดเด่นเป็นตัวของตนเอง Bold New Mazda BT-50 จะมาเป็นทางเลือกอันดับต้น ๆ ที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ มาพร้อมความใหม่ในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น
เอกลักษณ์ที่สำคัญของ Bold New Mazda BT-50 คือ การออกแบบอันสง่างามตามแนวทาง Kodo design – Soul of Motion ทำให้ปิกอัพมาสด้ามีความแตกต่างโดดเด่น เป็นปิกอัพที่มีสไตล์เฉกเช่นเดียวกับรถเอสยูวีที่ถ่ายทอดความสง่างามหรูหราพรีเมี่ยม ในขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงความแข็งแกร่งที่รถปิกอัพพึงมี โดยมาพร้อมดีไซน์ภายนอกใหม่รอบคัน ถ่ายทอดภาพลักษณ์ แกร่ง ดุดัน สไตล์ญี่ปุ่น ด้วยกระจังหน้าแบบใหม่ ไฟหน้าและไฟท้ายดีไซน์ใหม่แบบ LED Signature ล้ออัลลอยขนาด 17” สีดำ และ 18” สีเงิน และ สีดำ (Matte Black) ทั้งยังมาพร้อมสีภายนอกใหม่อีกถึง 3 สี ได้แก่ สีขาว จีโอด ไวท์ เพิร์ล สีน้ำเงิน เซลลิ่ง บลู และ สีแดง เวอร์มิลเลี่ยน ลาโตซอล เรด สีใหม่ที่เปิดตัวในรถรุ่นนี้เป็นครั้งแรก ภายในยังคงเน้นความหรูหรา ประณีต คัดสรรเฉพาะวัสดุคุณภาพสูงตามแบบฉบับรถมาสด้าที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสุนทรียศาสตร์สไตล์ญี่ปุ่น นอกจากนี้ การออกแบบของตัวรถเป็นไปตามหลักอากาศพลศาสตร์ ช่วยเพิ่มสมรรถนะในการขับขี่ให้กับปิกอัพรุ่นนี้ ทำให้ได้สมรรถนะที่ดีขึ้น ช่วงล่างเกาะถนนดียิ่งขึ้น นุ่นนวลขึ้น และช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างราบรื่นในทุกการเดินทาง
สีภายนอกของ Bold New Mazda BT-50 มีให้เลือกทั้งหมด 5 สี
มาพร้อมหน้าจอ MID แบบสี ขนาด 7 นิ้ว พร้อมด้วย Vehicle Tilt information เพิ่มความสะดวกสบายด้วยช่องเสียบ USB-C หน้าจอ Center Display ขนาด 8” และ 9” ที่รองรับระบบ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย ตอบรับทุกความต้องการของคนยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง ได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงเพิ่มเติม เพื่อมอบความปลอดภัยยิ่งขึ้น อาทิ ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ (AEB) ระบบเตือนการชนด้านหน้า (FCW) ระบบช่วยเตือนการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (DAA) และระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTB)
มาพร้อมสมรรถนะในการขับขี่แบบรถปิกอัพเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ 4x4 ที่มาพร้อมเฟืองท้ายแบบ Diff-lock รวมถึงระบบการขับขี่แบบออฟโร้ด (Off-Road Mode) ในขณะที่ยังคงมอบความนุ่มสบายให้กับผู้ขับขี่ และผู้โดยสารเสมือนรถยนต์นั่งตามแบบฉบับรถยนต์มาสด้า
Bold New Mazda BT-50 ได้รับการปรับปรุงพละกำลังของเครื่องยนต์ให้มีความแรงยิ่งขึ้น กับเครื่องยนต์ใหม่ ขนาด 2.2 ลิตร ทั้งในรุ่นฟรีสไตล์แค็บ (บานแค็บเปิดได้) แบบขับสองยกสูง หรือ FSC HI-RACER และดับเบิ้ลแค็บ แบบขับสองยกสูง หรือ DBL HI-RACER ช่วยเพิ่มความอเนกประสงค์ในการใช้งานมากยิ่งขึ้น ให้พละกำลังแรงสูงสุด 163 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตัน-เมตร มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ใหม่ล่าสุด ให้อัตราทดต่อเนื่องทุกช่วงความเร็ว ตอบสนองฉับไว แม่นยำ ราบเรียบ นุ่มนวล ทำให้การขับขี่สนุกมากยิ่งขึ้น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในขณะที่ DBL รุ่นเครื่องยนต์ 3.0 รุ่น HI-RACER และรุ่นขับเคลื่อน 4x4 ให้พละกำลังแรงสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตัน-เมตร สามารถขับลุยได้ทุกสถานการณ์ตอบโจทย์ทุกการใช้งานแบบอเนกประสงค์
ไร้ความกังวลกับบริการหลังการขาย ด้วยการบริการที่เป็นไปตามมาตรฐานมาสด้า เซลส์ ประเทศไทย พร้อมการดูแลอย่างพรีเมี่ยมที่ครบครันในทุกด้าน มอบข้อเสนอ ดอกเบี้ย 1.99%1 ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปี2 หรือ ส่วนลดสูงสุด 55,000 บาท3 และสำหรับช่วงเปิดตัวแนะนำ มาสด้ามอบฟรี บัตรน้ำมันมูลค่า 10,000 บาท4 และฟรีบัตรน้ำมันมูลค่า 30,000 บาท4 สำหรับ Mazda Family
นอกเหนือจากระบบความปลอดภัยที่เพิ่มเติมเข้ามาแล้ว Bold New Mazda BT-50 ยังมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงมากมายหลายระบบ อาทิ
Bold Mazda BT-50 มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย โดยมีราคาจำหน่ายดังต่อไปนี้
ลูกค้าที่สนใจเป็นเจ้าและสัมผัสคันจริงของรถปิกอัพ Bold New Mazda BT-50 สามารถยลโฉมได้แล้ววันนี้ที่งาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2024 ระหว่างวันที่ 29 พ.ย. 67 – 10 ธ.ค. 67 หรือที่โชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศ พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษในช่วงเปิดตัว ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 ธ.ค. 67
หมายเหตุ:
1 ดาวน์ 25%, ผ่อนนาน 48 เดือน
2 บริษัทประกันภัยที่ร่วมโครงการ ได้แก่ (1) บมจ. วิริยะประกันภัย (2) บมจ. ธนชาตประกันภัย (3) บมจ. ประกันภัยไทยวิวัฒน์ (4) บมจ. กรุงไทยพานิชประกันภัย (5) บมจ. แอกซ่าประกันภัย
3 ทุกรุ่น
4 เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
เงื่อนไขเพิ่มเติม:
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Bold New Mazda BT-50
อุปกรณ์ที่เปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนหน้า
รายละเอียดการอัพเกรดจากรุ่นก่อนหน้า
กระแสตอบรับดีมาก ในงาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป กับปิกอัพดีไซน์แกร่งดุดันสไตล์ญี่ปุ่น Bold New Mazda BT-50 ด้วยคอนเซ็ปต์ “Dignity into Power พลังแกร่ง สะท้อนตัวตน” ฉีกกฎภาพลักษณ์ปิกอัพสไตล์เดิม ๆ เพิ่มเติมคือ ความแกร่ง ดุดัน หรูหรา สง่างาม พรีเมี่ยมทุกจุดสัมผัส เครื่องยนต์ขุมพลังใหม่ล่าสุด ดีเซลเทอร์โบ 2.2 ลิตร 163 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ให้พละกำลังแรงขึ้น ประหยัดน้ำมันมากขึ้น และเครื่องยนต์ทรงพลังขนาด 3.0 ลิตร 190 แรงม้า อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ใส่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาให้ครบครัน ราคาเริ่มต้นเพียง 762,000 บาท ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง* หรือ ส่วนลดสูงสุด 55,000 บาท* ฟรีบัตรน้ำมันมูลค่า 10,000 บาท* พิเศษสุด ๆ ลูกค้า Mazda Family รับเพิ่มฟรีบัตรน้ำมัน 30,000 บาท* รวมมูลค่ากว่า 100,000 บาท กลายเป็นรถปิกอัพที่คุ้มค่าที่สุดและตอบโจทย์ทุกการใช้งาน สร้างกระแสฮือฮามีลูกค้าต่างหลั่งไหลเข้าชมและสัมผัสคันจริงจนล้นบูธตลอดทั้งวัน
อีกหนึ่งรุ่นกับ New Mazda CX-5 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Togetherness Redefined นิยามใหม่ของความสุขในแบบคุณ” ครอสโอเวอร์เอสยูวีสำหรับครอบครัวยุคใหม่ที่ครบครันสมบูรณ์แบบในทุกด้าน โดดเด่นด้วยดีไซน์ใหม่รอบคัน กระจังหน้าใหม่ ไฟหน้าและไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่ ชุดตกแต่งคิ้วข้างประตูใหม่ ล้ออัลลอยและท่อไอเสียดีไซน์ใหม่ ในขณะที่ภายในหรูหราพรีเมี่ยม ใส่เทคโนโลยีความสะดวกสบายมาให้อย่างครบครันตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น อาทิ Sports Paddle Shift และ Wireless Apple CarPlay and Android Auto ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบแฮนด์ฟรี ลิฟต์เกท ขับนุ่มสบายขึ้นกับช่วงล่างใหม่ เกาะถนนหนึบ เปิดตัวแล้ววันนี้ในราคาเริ่มต้นเพียง 1,219,000 บาท พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี* ฟรีโปรแกรมบำรุงรักษารถ 5 ปี* หรือส่วนลดสูงสุด 50,000 บาท* ลูกค้า Mazda Family รับเพิ่มฟรีบัตรเติมน้ำมัน 30,000 บาท รวมมูลค่ามากกว่า 100,000 บาท กลายเป็นเอสยูวีที่คุ้มค่าคุ้มราคามากที่สุด เปิดให้จองพร้อมรับข้อเสนอดี ๆ นี้ได้ที่งานมอเตอร์ เอ็กซ์โป หรือที่โชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศ
ลูกค้าที่สนใจสามารถแวะชมและสัมผัสรถยนต์มาสด้าทุกรุ่น ทั้ง New Mazda2, Mazda3 และรุ่นพิเศษ Carbon Edition, New Mazda 6 20TH Anniversary Edition รุ่นเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปี , New Mazda CX-3, Mazda CX-30 และรุ่นพิเศษ Carbon Edition, Mazda CX-8 รวมถึงรถสปอร์ตโรดสเตอร์เปิดประทุน New Mazda MX-5, พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษกับโปรแกรม Mazda Year-End Party ข้อเสนอใหญ่ ได้รถใหม่ดั่งใจ ได้ที่งาน มอเตอร์ เอกซ์โป ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 ธันวาคมศกนี้ หรือแวะไปสัมผัสและทดลองขับได้ที่โชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศ
ZEEKR แบรนด์รถไฟฟ้าระดับพรีเมียม-ลักชูรี นำเสนอเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าล้ำสมัยครั้งแรกในงาน Thailand International Motor Expo 2024 พบกับไฮไลท์สุดพิเศษของปี ได้แก่ ZEEKR X รถยนต์ไฟฟ้าเอสยูวีที่ตอบโจทย์ชีวิตคนเมือง ZEEKR 009 รถเอ็มพีวีไฟฟ้าสุดหรูที่รองรับทุกการเดินทางอย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมเผยโฉม ZEEKR 001 FR ที่มาพร้อมพลังขับเคลื่อนเกินจินตนาการ และ ZEEKR 7X รถเอสยูวีรุ่นใหม่ออกแบบมาเพื่อครอบครัวโดยเฉพาะที่อัดแน่นไปด้วยฟังก์ชันอัจฉริยะ พร้อมกิจกรรมสุดพิเศษ และโปรโมชันสำหรับผู้เข้าร่วมงาน พร้อมตอกย้ำความสำเร็จในตลาดโลกด้วยยอดส่งมอบรวมกว่า 360,000 คัน และการเข้าสู่ตลาดกว่า 40 ประเทศทั่วโลก พบกับนวัตกรรมที่ผสานดีไซน์ เทคโนโลยี และความปลอดภัยขั้นสูงระดับพรีเมียมที่จะมาสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคไทย แล้วร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนสู่อนาคตที่ยั่งยืนนี้ได้ที่บูธ ZEEKR หมายเลข A13 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1–3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ตั้งแต่วันนี้ – 10 ธันวาคม 2567
ZEEKR ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้าระดับพรีเมียม-ลักชูรี เผยโฉมสุดยอดนวัตกรรมล่าสุดในงาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 หรือ Thailand International Motor Expo 2024 โดยในปี 2567 นี้ เปิดตัวมาแล้ว 2 รุ่น ตั้งแต่ ZEEKR X โกลบอล พรีเมียม คอมแพค เอสยูวี สำหรับไลฟ์สไตล์คนเมืองยุคใหม่ และ ZEEKR 009 รถเอ็มพีวี 6 ที่นั่ง เซกเมนต์ลักชูรีที่ผสานความหรูหราระดับเฟิร์สคลาส และนวัตกรรมสุดล้ำอย่างลงตัว ชาร์จไฟวิ่งได้ไกล 686 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC ล่าสุดทาง ZEEKR ได้เผยโฉมอีกสองรุ่นใหม่ครั้งแรกในไทยอย่าง ZEEKR 001 FR รถยนต์ Shooting Brake พร้อมขุมพลังความเร็ว แรง เป็นอีกหนึ่งขั้นของสมรรถนะ ที่จะมาเปลี่ยนทุกเส้นทางให้เต็มไปด้วยความเร้าใจ เพื่อผู้ที่ต้องการทั้งความเร็วและเทคโนโลยีขั้นสูง ขับเคลื่อนด้วยพละกำลังสูงถึง 1,300 แรงม้าจาก Silicon Carbide E-Motor 4 ชุด และ ZEEKR 7X รถเอสยูวีไฟฟ้า 5 ที่นั่งสุดพรีเมียมสำหรับครอบครัวยุคใหม่ ที่เติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์ด้วยฟังก์ชันระบบควาปลอดภัยขั้นสุดพร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำสมัย โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่สะดุดตา และพื้นที่ภายในที่กว้างขวาง โดยทั้ง 2 รุ่นใหม่นี้ถือเป็นการนำเสนอสุดยอดนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่สะท้อนถึงเทคโนโลยีล้ำสมัยล่าสุดจาก ZEEKR
แฟรงค์ ลี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด ซีเคอาร์ อินเตอร์เนชันแนล กล่าว “ขณะเดียวกัน ZEEKR กำลังขยายตลาดสู่ระดับโลก โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่เรามีความมั่นใจว่าเทคโนโลยี และการออกแบบของเราจะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ZEEKR ภูมิใจที่ได้ขยายไปกว่า 40 ตลาดทั่วโลก และมียอดส่งมอบมากกว่า 360,000 คัน รวมทั้งการเปิดโชว์รูมแห่งที่ 500 ที่ประเทศสิงคโปร์ในวันนี้ อีกทั้งรถยนต์รุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานที่ Chengdu Motor Show 2024 อย่าง ZEEKR 7X ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคในประเทศจีน โดย ZEEKR 7X ส่งมอบไปแล้วกว่า 25,000 คัน ภายในระยะเวลาเพียง 60 วันหลังการเปิดตัว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของ ZEEKR”
อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของงานในครั้งนี้คือ Z-Talk ซึ่งนำโดย อเล็กซ์ เป่า ประธานฝ่ายภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซีเคอาร์ อินเทลลิเจนท์ เทคโนโลยี พร้อมตัวแทนจากผู้ใช้งานจริงของรถ ZEEKR อย่าง แจ๊คกี้ - จักริน กังวานเกียรติชัย และ ดิว - วีรวัฒน์ วลัยเสถียร ที่จะมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ที่แท้จริงจากมุมมองของผู้ใช้งานรถยนต์ ZEEKR ในหัวข้อการพูดคุยที่ครอบคลุมถึงความรู้สึกเมื่อได้สัมผัสกับแบรนด์ ปัจจัยที่ทำให้มั่นใจในคุณภาพของ ZEEKR รวมไปถึงประสบการณ์ที่สร้างความประทับใจตลอดการใช้งาน
อเล็กซ์ เป่า ประธานฝ่ายภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซีเคอาร์ อินเทลลิเจนท์ เทคโนโลยี กล่าวว่า “ZEEKR ยังได้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ดีที่สุดให้แก่ผู้บริโภค โดยยืนหยัดที่จะคงไว้ซึ่งมาตรฐานระดับพรีเมียม ประสบการณ์ที่เหนือชั้น และความสบายใจในการใช้งาน ZEEKR ให้ความสำคัญกับการรับฟังเสียงลูกค้าเพื่อนำมาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ และบริการที่ตรงใจ ซึ่งถือว่าเป็นความพิเศษที่ ZEEKR เตรียมไว้ให้แก่ลูกค้า”
ภายในบูธของ ZEEKR ที่งาน Motor Expo 2024 ได้รับการออกแบบอย่างทันสมัย และสะท้อนเอกลักษณ์ของแบรนด์ โดยมีการจัดแสดงรถยนต์รุ่นต่าง ๆ ที่พร้อมให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสประสบการณ์นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม อย่างใกล้ชิด ดังนี้
นอกจากการจัดแสดงผลิตภัณฑ์แล้ว บูธของ ZEEKR ยังแบ่งพื้นที่พิเศษออกเป็นโซนต่าง ๆ ที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้เข้าชม ไม่ว่าจะเป็น 009 Lounge ที่สะท้อนความหรูหราของรถเอ็มพีวีไฟฟ้า ZEEKR 009, ZEEKR Spirit Runway โซนจัดแสดงไดนามิกที่สะท้อนจิตวิญญาณ และเอกลักษณ์ของแบรนด์ ทั้งหมดทั้งมวลเพื่อมุ่งเน้นแนวคิดแห่งจิตวิญญาณการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ของการเดินทางด้วยยานยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม-ลักชูรี
เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้า ZEEKR ยังได้มอบโปรโมชันพิเศษสำหรับผู้ที่จองรถยนต์ภายในงาน ตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 31 ธันวาคม 2567 สำหรับท่านที่สนใจเป็นเจ้าของ ZEEKR 009 รับข้อเสนอเดียวกับ MOTOR EXPO หรือที่โชว์รูม ZEEKR House ทั่วประเทศ รวมมูลค่ากว่า 131,500 บาท*
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
และสำหรับทุกท่านที่สนใจเป็นเจ้าของ ZEEKR X ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2024 รับข้อเสนอพิเศษดังนี้
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
ร่วมสัมผัสประสบการณ์ยานยนต์แห่งอนาคต และค้นพบแรงบันดาลใจในการเดินทางที่แตกต่าง พร้อมพบกับ ZEEKR 001 FR และ ZEEKR 7X ได้ที่งาน Thailand International Motor Expo 2024 บูธ ZEEKR หมายเลข A13 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1–3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ตั้งแต่วันนี้ – 10 ธันวาคม 2567
เอ็มจี นำ NEW MG IM6 พวงมาลัยขวาโชว์ตัวจริงครั้งแรกในโลก พร้อมยกขบวนยนตรกรรมครบทุกรุ่นเข้างาน Motor Expo 2024
สำหรับงาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 หรือ Thailand International Motor Expo 2024 ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาสำคัญของแบรนด์ เอ็มจี ในการเดินหน้าสร้างแรงขับเคลื่อนครั้งใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ครอบคลุมทุกรูปแบบการขับเคลื่อน เพื่อให้ลูกค้าได้มีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งงานในครั้งนี้ เอ็มจี ได้เผยโฉม NEW MG IM6 รุ่นพวงมาลัยขวาเป็นครั้งแรกของโลก ชูจุดเด่นด้วยการเป็น “The First Ever Intelligent e-SUV” รถไฟฟ้าสุดล้ำที่เข้ามาเติมเต็มกลุ่มผลิตภัณฑ์อีวีพรีเมี่ยมภายใต้แบรนด์ เอ็มจี ไม่ว่าจะเป็น ดีไซน์การออกแบบล้ำสมัยที่โดดเด่นไม่ซ้ำใคร ระบบวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมยานยนต์ที่มีประสิทธิภาพ ฟังก์ชันที่ครบครัน ที่มาเติมเต็มไลฟ์สไตล์ผู้ใช้งานให้สมบูรณ์แบบ NEW MG IM6 โดดเด่นด้วยดีไซน์ภายนอกโค้งมน และพลิ้วไหว
มาพร้อมหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ และระบบเครื่องเสียงพร้อมลําโพง 20 จุด สมรรถนะทรงพลังด้วยขุมพลังมอเตอร์คู่ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้พละกำลังสูงสุดที่ 787 แรงม้า (579 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ภายในเวลาเพียง 3.48 วินาที มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 100 kWh สามารถชาร์จแบบเร็วสูงสุด 800 V (Quick Charge) จาก 10% - 80% ใช้เวลาประมาณ 18 นาที และให้ระยะทางมากกว่า 600 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ทั้งนี้ NEW MG IM6 ถือเป็นโมเดลแรกและหนึ่งเดียวในคลาสที่มีระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้ออัจฉริยะ ทำให้การเปลี่ยนเลนมีเสถียรภาพแม้ในช่วงความเร็วสูง รวมถึงทำให้การกลับรถในที่แคบได้ง่ายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีระบบอัจฉริยะแสดงผลบนหน้าจอในขณะสภาพทัศนวิสัยมืดและฝนตก (Intelligent Rainy Night Mode) ที่จะแสดงผลบนหน้าจอขนาดใหญ่ ช่วยเสริมความปลอดภัยขณะขับขี่โดย เอ็มจี ได้เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ลงทะเบียนแสดงความสนใจล่วงหน้า ได้ที่ http://www.im6.mgcars.com/ ทั้งนี้ NEW MG IM6 มีกำหนดเปิดตัวและประกาศราคาอย่างเป็นทางการในประเทศไทยภายในครึ่งปีแรกของปี 2568
และอีกหนึ่งไฮไลท์กับ NEW MG CYBERSTER สัญลักษณ์ยนตรกรรมที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถสปอร์ตโรดสเตอร์รุ่นคลาสสิกที่สร้างชื่อให้กับ เอ็มจี อย่าง MGB Roadster สู่ตำนาน “สปอร์ตคลาสสิกบทใหม่” ด้วยการเป็นสปอร์ตโรดสเตอร์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกและเป็นรุ่นเรือธงของ เอ็มจี ที่ถ่ายทอดสปอร์ตดีเอ็นเอไว้ในงานออกแบบอย่างเต็มขั้น มาพร้อมกับสีใหม่ โมเดิร์น เบจ (MODERN BEIGE) ที่ถ่ายทอดดีเอ็นเอและจิตวิญญาณความสปอร์ตสุดคลาสสิก และยังคงความโดดเด่นในทุก ๆ ด้านไว้อย่างครบถ้วนทั้งด้านการออกแบบที่สะกดทุกสายด้วยประตูปีกนกแบบปุ่มสัมผัสเปิด-ปิดอัตโนมัติ หลังคาซอฟต์ท็อปสีแดง อัดแน่นด้วยขุมพลังมอเตอร์คู่ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้พละกำลังสูงสุดที่ 544 แรงม้า (400 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 725 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลาเพียง 3.2 วินาที มาพร้อมแบตเตอรี่ Ultra-Thin Rubik's Cube ความจุ 77 kWh สามารถวิ่งได้ระยะทาง 503 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC
ซู๋ว หยิ่น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และรองกรรมการผู้จัดการบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด เปิดเผยว่า “งาน Motor Expo 2024 ครั้งนี้ เอ็มจี มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ “Empower the Future” ตอกย้ำความมุ่งมั่นของแบรนด์ในการพัฒนายานยนต์ที่มีคุณภาพหลากรูปแบบการขับเคลื่อนเพื่อให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมที่สุด รวมถึงการทำการตลาดในมุมมองใหม่ เพื่อขยายฐานและเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น เพื่อให้สอดคล้องไปกับแนวทางและทิศทางของแบรนด์ เอ็มจี ที่ครบรอบหนึ่งศตวรรษในระดับสากล และก้าวสู่ทศวรรษที่ 2 ของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดย เอ็มจี ได้เดินหน้าแผนงานยานยนต์สีเขียว หรือ Green Mobility ให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม โดยกำหนดเป้าหมายในการนำเทคโนโลยีไฮบริดมาทดแทนเครื่องยนต์สันดาปภายใน ควบคู่ไปกับการเดินหน้านำเสนอยนตรกรรมพลังงานทางเลือกใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงความเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดของ เอ็มจี กับความสำเร็จของ ALL NEW MG3 HYBRID+ ที่คว้ารางวัล THAILAND CAR OF THE YEAR 2024 และ เอ็มจี ยังได้รับรางวัล THAILAND CAR & MOTORCYCLE MARKETING AWARD 2024 โดยสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) ในฐานะแบรนด์ผู้สร้างมาตรฐานใหม่ด้านการรับประกันให้กับตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้า ซึ่ง เอ็มจี ถือเป็นแบรนด์แรก และแบรนด์เดียว
ที่มอบการรับประกัน “ตลอดอายุการใช้งาน” (Lifetime Warranty) ของแบตเตอรี่ แรงเคลื่อนสูงของรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมทั้งชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมมอเตอร์ขับเคลื่อน ที่ครอบคลุมกลุ่มรถไฟฟ้าในหลากหลายรุ่น สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ควบคู่กับการยกระดับการบริการหลังการขาย เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้เติบโตไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง”
นอกจากยนตรกรรมไฮไลท์ที่นำมาจัดแสดงแล้ว เอ็มจี ยังได้สร้างสรรค์แคมเปญพิเศษ NEW YEAR’S SUPER DEAL ที่เปิดโอกาสให้ผู้สนใจสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์คุณภาพแบรนด์ เอ็มจี ได้ง่ายยิ่งขึ้น ด้วยหลากข้อเสนอสำหรับยนตรกรรมหลากรุ่น อาทิ ดอกเบี้ยเริ่มต้นพิเศษ 0% ผ่อนนานสูงสุด 5 ปี รวมถึงข้อเสนอช่วยผ่อนสูงสุด 5,000 บาท นานสูงสุด 20 เดือน ฯลฯ สำหรับลูกค้าที่จองตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567
พบกับ ขบวนยนตรกรรมคุณภาพครบทุกรุ่นทุกรูปแบบการขับเคลื่อนของ เอ็มจี พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษในงาน Motor Expo 2024 ณ บูธ เอ็มจี หมายเลข A07 อาคารชาเลนเจอร์ 1 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม พ.ศ. 2567 รวมทั้งที่โชว์รูมและศูนย์บริการคุณภาพของเอ็มจีกว่า 141 แห่งทั่วประเทศ หรือคลิกดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://onlinebooking.mgcars.com/booking
อีซูซุยกขบวนยนตรกรรมโชว์ขุมพลังดีเซลแห่งอนาคต “ใหม่! 2.2 Ddi MAXFORCE…The FORCE of FUTURE พลังใหม่…กำหนดโลก” ครั้งแรก! ในงาน Motor Expo 2024
อีซูซุจำลองบรรยากาศสนามแข่งรถ ยกขบวนยนตรกรรมสุดยอดสมรรถนะเครื่องยนต์ดีเซลแห่งอนาคต ใหม่! 2.2 Ddi MAXFORCE The FORCE of FUTURE พลังใหม่…กำหนดโลก โดยนำ อีซูซุ ดีแมคซ์ และ มิว-เอ็กซ์ ใหม่! ภายใต้ชื่อเครื่องยนต์ MAXFORCE ร่วมโชว์งานแรกใน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 (The 41st Thailand International Motor Expo 2024) ณ อาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน - 10 ธันวาคม 2567
กลุ่มตรีเพชร โดย มร. ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า “อีซูซุได้เปิดตัวเครื่องยนต์ดีเซลแห่งอนาคต ใหม่! ISUZU 2.2 Ddi MAXFORCE พลังใหม่…กำหนดโลก ซึ่งเป็นขุมพลังที่แรงขึ้น เร็วขึ้น ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น ประหยัดน้ำมันกว่าเดิม และมีค่า CO2 ต่ำที่สุดในรถระดับเดียวกัน สามารถรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนหรือทำงานควบคู่กับพลังงานทางเลือกอื่น ๆ ในอนาคต พร้อม ใหม่! ISUZU 3.0 Ddi MAXFORCE ที่มี ใหม่! ECM แบบ MULTI-CORE โดยมีให้เลือกทั้งในอีซูซุ ดีแมคซ์ และ มิว-เอ็กซ์ ซึ่งจะเริ่มจำหน่ายวันแรกในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 และได้นำรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลแห่งอนาคต ใหม่! 2.2 Ddi MAXFORCE และ ใหม่! 3.0 Ddi MAXFORCE The FORCE of FUTURE พลังใหม่…กำหนดโลก ร่วมโชว์ครั้งแรกในงาน Motor Expo 2024 โดยจำลองบรรยากาศของสนามแข่งรถ พร้อม ISUZU SAFETY CAR และกิจกรรม MAXFORCE 360° XPERIENCE ผ่าน VR มุมมอง 360 องศา เพื่อสัมผัสประสบการณ์ความแรงและเร็วเสมือนนั่งกับนักแข่งรถในสนามจริง นอกจากนี้ยังได้นำอีซูซุ เอ็กซ์-ซีรี่ส์ 1.9 Ddi Blue Power ไลฟ์สไตล์ปิกอัพสายพันธุ์สปอร์ต และรถแต่งหลากหลายสไตล์มาร่วมโชว์ รวมทั้งสิ้น 15 คัน ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซลของโลก และตอบโจทย์ครบครันด้านความอเนกประสงค์ที่เหนือกว่าทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวันและไลฟ์สไตล์”
ใหม่! ISUZU 2.2 Ddi MAXFORCE พลังใหม่…กำหนดโลก ได้รับการพัฒนาใหม่ ให้เป็นเครื่องยนต์แห่งอนาคต ตอบโจทย์การใช้งานมากยิ่งขึ้น ด้วยพละกำลังสูงขึ้นแรงสุดถึง 163 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดถึง 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 – 2,400 รอบ/นาที ออกตัว เร่งแซงเร็วขึ้น กับแรงบิดช่วงออกตัวสูงขึ้นถึง 56% แต่ประหยัดน้ำมันยิ่งกว่าเดิมสูงสุด 10% และมีค่า CO2 ต่ำที่สุดในรถระดับเดียวกัน ผ่านการทดสอบตามมาตรฐานอีซูซุเป็นระยะทางเทียบเท่า 2.2 ล้านกิโลเมตร จนมั่นใจว่าเครื่องยนต์นี้มีความแรง ทนทาน และประหยัดน้ำมันเหมาะสมกับตลาดรถยนต์เมืองไทยมากที่สุด พร้อมที่จะถ่ายทอดสมรรถนะอันยอดเยี่ยมในทุก ๆ ด้าน ถือเป็นเทคโนโลยีดีเซลที่จะกำหนดอนาคตแห่งการขับเคลื่อนอย่างแท้จริง
พร้อมกันนี้ อีซูซุยังได้ปรับปรุงเครื่องยนต์ ใหม่! ISUZU 3.0 Ddi MAXFORCE พลังใหม่…กำหนดโลก พร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน แรงจัดตั้งแต่รอบต่ำ ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ทนทาน และประหยัดน้ำมัน ให้พลังแรงสุดถึง 190 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที และ แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 – 2,600 รอบ/นาที ด้วย ECM ใหม่ แบบ MULTI-CORE ประสิทธิภาพสูง เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการใช้งานที่ต้องการกำลังสูงเป็นพิเศษ อีกทั้งยังเพิ่มไลน์อัพใหม่กับ ใหม่! มิว-เอ็กซ์ “เดอะ เน็คซ์พีค” รุ่น RS 2.2 Ddi MAXFORCE อีซูซุ วี-ครอส 4x4 รุ่น 4 ประตู เกรด ZP เกียร์อัตโนมัติ 3.0 Ddi MAXFORCE และ อีซูซุ ดีแมคซ์ สปาร์ค 4x4 เกียร์อัตโนมัติ 3.0 Ddi MAXFORCE รวมทั้งยังมาพร้อมสีใหม่ “เทาเอลบรุส โอเพค” (Elbrus Grey Opaque) ในอีซูซุ ดีแมคซ์ทุกรุ่น
ขบวนรถอีซูซุจำนวน 15 คันที่นำมาจัดแสดง ในงาน MOTOR EXPO 2024 ประกอบด้วย
รถอีซูซุรุ่นมาตรฐานยอดนิยม จำนวน 9 คัน
นอกจากนี้ภายในบูธอีซูซุยังมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกลุ้นรับของรางวัล อาทิ เปิดประสบการณ์ใหม่กับสถานการณ์เสมือนจริง ปะทะความเร็วและแรงบนสนามแข่งรถราวกับการนั่งคู่กับนักแข่งขาซิ่งในสนามจริง ผ่านกิจกรรม MAXFORCE 360°XPERIENCE แว่น VR ในมุมมอง 360 องศา พร้อมแชร์ความแรงผ่าน “AI Snap MAXFORCE” Photo Booth และทดลองขับสัมผัสประสบการณ์ความแรงและเร็วของ อีซูซุ ดีแมคซ์ และมิว-เอ็กซ์ ในงาน MOTOR EXPO 2024 ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2567 ณ อาคารอิมแพคชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ติดตามข่าวสารของอีซูซุเพิ่มเติมได้ที่ www.isuzu-tis.com หรือ LINE: @isuzuthai
CHANGAN สร้างปรากฏการณ์ที่ Motor Expo 2024 เปิดตัว DEEPAL E07 ยานยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคต!
เซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย จำกัด กล่าวว่า "ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานในวันนี้ ปีที่ผ่านมาเป็นปีสำคัญของ CHANGAN ในประเทศไทย เราได้เปิดตัวแผนระดับโลก ‘Vast Ocean Plan’ ซึ่งช่วยขยายธุรกิจจากภูมิภาคอาเซียนไปยังยุโรป ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง แอฟริกา โอเชียเนีย และประเทศไทย เราภูมิใจในการเฉลิมฉลองครบรอบ 1 ปีของ CHANGAN Thailand โดยในงาน Motor Expo 2023 ที่ผ่านมา เราได้เปิดตัว DEEPAL S07 และ L07 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ยอดเยี่ยมจากตลาดไทย สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในด้านนวัตกรรมและความยั่งยืนในอุตสาหกรรมยานยนต์"
CHANGAN ขับเคลื่อนความยั่งยืน ภายใต้กลยุทธ์ Vast Ocean Plan ที่ผ่านมาบริษัทมีการลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาทในประเทศไทย รวมถึงการสร้างโรงงานผลิตยานยนต์พลังงานใหม่ที่ระยอง และการจัดตั้งหน่วยธุรกิจ 3 หน่วย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในภูมิภาค ความมุ่งมั่นในด้านความยั่งยืนสะท้อนผ่านการลดการปล่อย CO2 โดยยอดขายยานยนต์พลังงานใหม่ของ CHANGAN ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 10,000 ตัน จนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ CHANGAN ยังร่วมมือกับซัพพลายเออร์ในประเทศไทยกว่า 300 ราย ส่งเสริมการผลิตในประเทศมากกว่า 50% โดยพนักงานกว่า 80% เป็นคนไทย สร้างงานในห่วงโซ่อุปทานกว่า 20,000 ตำแหน่ง และจ่ายภาษีมากกว่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศไทย
ในเดือนกันยายน 2024 ที่ผ่านมา CHANGAN ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ ด้วยการเปิดตัว AVATR แบรนด์รถ SUV ระดับหรูที่มุ่งเน้นการผสมผสานความสง่างาม นวัตกรรม และความคุ้มค่า โดยรุ่น AVATR 11 ได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งผู้บริโภคและสื่อมวลชน ด้วยดีไซน์ที่ล้ำยุค เทคโนโลยีอัจฉริยะ พร้อมด้วยสมรรถนะอันยอดเยี่ยม
สำหรับไฮไลต์ในงานครั้งนี้ DEEPAL ได้เปิดตัว DEEPAL E07 รถ SUV ไฟฟ้าที่ออกแบบเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงและสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม สะท้อนแนวคิด
“BE YOURSELF, DRIVE YOUR WAY” มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ
DEEPAL E07 มาพร้อมดีไซน์ล้ำยุค เส้นสายภายนอกที่โฉบเฉี่ยว ผสานความสวยงามและความแข็งแกร่ง แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 89.98 กิโลวัตต์-ชั่วโมง สมรรถนะดีเยี่ยมด้วยขุมพลัง 2 ทางเลือก
1. รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD)
มาพร้อมมอเตอร์คู่ให้กำลังรวมสูงสุด 440 กิโลวัตต์ แรงบิดรวมสูงสุด 645 นิวตันเมตร สามารถวิ่งได้ไกล 590 กิโลเมตร ต่อหนึ่งการชาร์จเต็ม ตามมาตรฐาน NEDC
2. รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ (RWD)
มาพร้อมมอเตอร์ให้กำลังสูงสุด 252 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 365 นิวตัน-เมตร สามารถวิ่งได้ไกลถึง 640 กิโลเมตร ต่อหนึ่งการชาร์จเต็ม ตามมาตรฐาน NEDC
นอกจากนี้ DEEPAL E07 ยังเปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะมากมาย อาทิ ระบบช่วยเหลือการขับขี่และระบบช่วยจอดอัจฉริยะเพื่อความปลอดภัยและความสะดวกสบาย ระบบเลือกโหมดสถานการณ์เพื่อช่วยปรับพื้นที่ห้องโดยสารพร้อมสร้างบรรยากาศที่เหมาะสม โหมดเฝ้าระวังเพื่อช่วยตรวจจับเหตุการณ์ผิดปกติและบันทึกวิดีโอสภาพแวดล้อมรอบ ๆ เมื่อไม่ได้อยู่ที่รถ เป็นต้น อีกทั้งยังมีพื้นที่ภายในที่สะดวกสบาย เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้าได้ 14 ทิศทางพร้อมฟังก์ชัน Zero Gravity และระบบระบายอากาศ
จุดเด่นของ DEEPAL E07
รุ่นและราคา DEEPAL E07
ข้อเสนอพิเศษสำหรับผู้ที่จอง DEEPAL E07 มีรายละเอียดดังนี้
สิทธิประโยชน์ สำหรับรถยนต์ DEEPAL E07 รุ่น Plus
1. แพ็คเกจ DEEPAL Premium Care
2. แพ็คเกจ DEEPAL Premium Care Plus
3. พิเศษสำหรับผู้ที่จอง 500 ท่านแรก รับราคาเปิดตัวพิเศษ DEEPAL E07 Plus ราคา 1,599,000 บาท พร้อมรับ Special Gift: เลือกรับไลฟ์สไตล์แพ็คเกจ Outdoor Explorer Pack หรือ Bike & Beyond Kit มูลค่า 60,000 บาท
สิทธิประโยชน์ สำหรับรถยนต์ DEEPAL E07 รุ่น Performance AWD
1. แพ็คเกจ DEEPAL Premium Care
2. แพ็คเกจ DEEPAL Premium Care Plus
3. พิเศษสำหรับผู้ที่จอง 500 ท่านแรก รับราคาเปิดตัวพิเศษ DEEPAL E07 Performance AWD ราคา 1,999,000 บาท พร้อมรับ Special Gift: เลือกรับไลฟ์สไตล์แพ็คเกจOutdoor Explorer Pack หรือ Bike & Beyond Kit มูลค่า 60,000 บาท
"ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุน CHANGAN อย่างต่อเนื่อง ความไว้วางใจของทุกท่านคือแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เราเติบโตอย่างมั่นคงในตลาดไทย ในปี 2025 เรามุ่งมั่นขยายการผลิตและบริการในประเทศไทย โดยจะเริ่มการผลิตในโรงงานระยองช่วงครึ่งปีแรก และขยายศูนย์บริการหลังการขายเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าต่อไป" เซิน ซิงหัว กล่าวปิดท้าย
“CHANGAN มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้าในไทยและทั่วโลก เราสัญญาว่าจะเดินหน้าสร้างสรรค์ยานยนต์ที่ไม่เพียงตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโลกที่ยั่งยืน”
AJ EV จัดเต็ม! อวดโฉม 6 รุ่นใหม่ล่าสุด เปิดราคา 4 รุ่นอย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดจองในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป 2024
พิชัย ปัญจสังข์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AJA เผยว่า AJ EV ได้ประกาศแผนรุกตลาด EV พร้อมปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ในธุรกิจมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ด้วยการ Rebranding พร้อมเปิดตัว Soft Launch รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า 6 รุ่นใหม่ล่าสุด เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา นับว่าสร้างกระแสความคึกคักให้กับตลาดมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า และได้รับความสนใจจากผู้ขับขี่ในเมืองไทย เพราะแต่ละรุ่นต่างรวมความโดดเด่นในหลาย ๆ ด้าน อาทิ ดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยว เท่ สะดุดตา มีเอกลักษณ์ รองรับการใช้งานที่แตกต่างกัน โดย AJ EV เน้นการพัฒนาให้ครอบคลุมทั้งกลุ่มที่ต้องการเทคโนโลยีทันสมัย ในราคาที่เข้าถึงง่าย ไปจนถึงกลุ่มผู้บริโภคที่เน้น hi-performance ของรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแบบพรีเมียม เพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ ด้วยการส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดีกว่า ภายใต้แนวคิด “POWER YOUR CONFIDENCE มั่นใจ....ไปให้สุดทาง AJ EV” จึงนับว่าเป็นโอกาสที่ได้เข้าร่วมออกบูธในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 หรือ Motor Expo 2024 เพื่อแนะนำ AJ EV ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในวงกว้าง พร้อมด้วยการเปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า 6 รุ่นใหม่ล่าสุดอย่างเป็นทางการ และได้เปิดราคาจำหน่าย พร้อมเปิดจองอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก 4 รุ่น ได้แก่
นอกจากนี้ยังมี AJ FLIX (เอเจ ฟลิก) ที่มีสมรรถนะและดีไซน์ตอบโจทย์คนเมือง พร้อมด้วย I AM AJ (ไอ แอม เอเจ) โดดเด่นด้วยการออกแบบที่ล้ำ ทันสมัย เทคโนโลยีครบครัน พร้อมรางวัลการออกแบบการันตี Reddot 2024 นำมาอวดโฉมให้ได้ทดลองสัมผัส และพิเศษ! AJ EV ร่วมกับ สายการบินนกแอร์ และ Monsty Planet เปิดตัวรถ AJ C LION ลายพิเศษลิมิเต็ดเอดิชัน Nokair x Monsty Planet ราคา 49,900 บาท โดยเปิดจำหน่ายเป็นครั้งแรก พร้อมรับของสมนาคุณรวมมูลค่ากว่า 50,000 บาท ได้แก่ ตั๋วเที่ยวบินไป-กลับโดยสารภายในประเทศกับนกแอร์จำนวน 1 ที่นั่ง (Nok Xtra), Gift Voucher ส่วนลดตั๋วเครื่องบิน Nokair, แลกซื้อกล้องติดรถ Proof รุ่น BP-100 ราคาพิเศษ, และส่วนลดประกันภัย 10 % ชั้น 1 และ 3 เป็นต้น
พิเศษ! รับส่วนลดราคาพิเศษสำหรับซื้อกล้องหน้า Proof รุ่น BP100 และรับฟรีทันที เสื้อและถุงผ้า AJ EV เมื่อซื้อมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า AJ EV ทุกรุ่น และเมื่อผ่อนชำระมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า AJ EV ทุกรุ่นภายในงาน ผ่าน AEON รับกระเป๋าเดินทาง Caggioni มูลค่า 6,900 บาท ฟรีทันที นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชันพิเศษสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า AJ EV รุ่นยอดฮิต ที่ห้ามพลาด อาทิ AJ SABER TIGER (เอเจ เซเบอร์ ไทเกอร์) ราคาเพียง 59,990 บาท พร้อมรับของสมนาคุณรวมมูลค่ากว่า 30,000 บาท ได้แก่ รับฟรีแบตเตอรี่ลูกที่ 2, Gift Voucher ส่วนลดตั๋วเครื่องบิน Nokair, และส่วนลดประกันภัย 10 % ชั้น 1 และ 3 พร้อมด้วย AJ C LION (เอเจ ซี ไลออน) ราคาเพียง 49,990 บาท พร้อมรับของสมนาคุณรวมมูลค่ากว่า 20,000 บาท อาทิ Voucher มูลค่า 7,000 บาท, Gift Voucher ส่วนลดตั๋วเครื่องบิน Nokair และส่วนลดประกันภัย 10% ชั้น 1 และ 3 เป็นต้น
LOTUS CARS THAILAND เปิดตัว ‘LOTUS CHAPMAN BESPOKE’ เป็นประเทศที่ 2 ของโลก!
กับการปรากฏโฉม Eletre TYPE 79 และ Emeya Blossom (Limited Edition) ยนตรกรรม 2 รุ่นไฮไลต์เป็นครั้งแรก ในงาน MOTOR EXPO 2024
การเปิดตัว Lotus Chapman Bespoke ในประเทศไทย เป็นประเทศที่ 2 ของโลก
LOTUS CARS THAILAND (โลตัส คาร์ ไทยแลนด์) ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายสปอร์ตคาร์สัญชาติอังกฤษ ภายใต้การบริหารงานของ บริษัท เวิร์นส์ ออโตโมทีฟ ประเทศไทย สร้างปรากฎการณ์ Talk of the Town ในวงการยานยนต์ประเทศไทยอีกครั้ง กับการเปิดตัวสุดยิ่งใหญ่ “Lotus Chapman Bespoke” อย่างเป็นทางการในงาน Motor Expo 2024 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี นับเป็นการเปิดตัวเป็นประเทศที่สองของโลกและถือเป็นประเทศแรกในเอเชียแปซิฟิกในการเปิดตัว “Lotus Chapman Bespoke” หลังเผยโฉมครั้งแรกในงาน Beijing Auto Show เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
โดยการใช้ชื่อ Lotus Chapman Bespoke ถือเป็นการเชิดชูและให้เกียรติแก้ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Lotus คือ Colin และ Hazel Chapman ซึ่งเริ่มธุรกิจในปี 1948 ที่กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ในฐานะผู้พัฒนาและบุกเบิก การออกแบบ เทคโนโลยี และนวัตกรรมหลายอย่างที่เห็นในมอเตอร์สปอร์ตในปัจจุบัน
ธีรพงศ์ รอดลอย ผู้จัดการส่วนภูมิภาค เวิร์นส์ ออโทโมทีฟ ประเทศไทย เผยถึงการเปิดตัว Lotus Chapman Bespoke สุดยอดยนตรกรรมไฟฟ้าหรูคู่ดีไซน์สุดพรีเมียมระดับโลกว่า “เรารู้สึกภาคภูมิใจอย่างมากที่ได้เปิดตัว Lotus Chapman Bespoke ในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 2 ของโลกและเป็นครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก นับเป็นส่วนหนึ่งในกลยุทธ์ Globalized Bespoke Strategy ที่ Lotus มุ่งมั่นนำเสนอประสบการณ์การขับขี่ที่ผสานความเป็นเอกลักษณ์ในระดับสากล ความพิเศษของ Chapman Bespoke ที่เราอยากนำเสนอว่า Lotus Cars ไม่ได้โดดเด่นแค่ในเรื่องของสมรรถนะและเทคโนโลยีล้ำสมัยเท่านั้น แต่ Lotus ยังส่งมอบคุณค่าให้ผู้ขับได้สัมผัสถึงความหรูหราและดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ด้วย ซึ่งเราได้รังสรรค์ขึ้นเพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งรถได้ตามความต้องการ แสดงถึงการยกระดับมาตรฐานใหม่ของยนตรกรรมที่สะท้อนถึงความสปอร์ต ผสานกับงานดีไซน์การแต่งรถที่ยูนีค ให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับนวัตกรรมที่เน้นการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นอนาคตของวงการยานยนต์ ผมเชื่อมั่นว่า Lotus Chapman Bespoke จะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเพื่อให้ความรู้สึกในการขับขี่ที่แตกต่างและสะท้อนสไตล์ของผู้ขับขี่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ"
อีกทั้ง ธีรพงศ์ รอดลอย ยังกล่าวเสริมถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจของแบรนด์ในปี 2025 ต่อจากนี้ เพิ่มเติมว่า “ทาง Lotus Cars Thailand มุ่งหวังที่จะเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งและความเชื่อมั่นให้กับลูกค้ายิ่งขึ้น โดยได้วางแผนรีโนเวตโชว์รูมและศูนย์บริการ Lotus Cars Thailand อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการปรับเปลี่ยนและขยายพื้นที่โชว์รูมใหม่บริเวณด้านหน้าอาคาร พร้อมพื้นที่รับรองสำหรับให้บริการลูกค้าอย่างเอ็กซ์คลูซีฟและมอบความเป็นส่วนตัวอย่างเหนือระดับ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่มีจำนวนมากขึ้นในปัจจุบัน หลังได้ส่งมอบรถไปแล้วรวมกว่า 200 คัน ตั้งแต่ธันวาคมในปีที่ผ่านมา จากการเปิดตัว Lotus Eletre ที่ได้ผลตอบรับที่ดีมาโดยตลอด ซึ่งคาดว่าการปรับโฉมโชว์รูมใหม่ในครั้งนี้จะพร้อมให้บริการลูกค้าได้ในช่วงกลางปีหน้า แต่อย่างไรก็ตามในระหว่างนี้ทางโชว์รูมและศูนย์บริการยังคงสามารถรองรับลูกค้าให้เข้ามารับบริการได้ตามปกติ”
Lotus Chapman Bespoke: เปิดประสบการณ์สุดพิเศษที่ไร้ขีดจำกัด เพื่อสร้างสรรค์รถยนต์ในเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ด้วยบริการพิเศษสำหรับออกแบบปรับแต่งรถที่รองรับความต้องการเฉพาะตัวของลูกค้าที่แตกต่างในทุกมิติของรถยนต์สปอร์ต เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกตั้งแต่สีของรถ วัสดุตกแต่ง ไปจนถึงรายละเอียดพิเศษที่สะท้อนถึงตัวตนของผู้ขับขี่ การตกแต่งเฉพาะบุคคลที่จะทำให้รถ Lotus Chapman ของลูกค้าแต่ละคันมีความพิเศษไม่เหมือนใคร โดยมีบริการออกแบบได้ถึง 3 ระดับได้แก่
Tailor-made: ให้ลูกค้าปรับแต่งดีไซน์รถตามความต้องการ โดยมีตัวเลือกปรับแต่งที่หลากหลาย เช่น การปรับแต่งสีภายนอก ที่มีให้เลือกมากถึง 36 เฉดเมทัลลิค, สีภายใน 13 แบบ, วัสดุตกแต่งภายใน ไม่ว่าจะเป็น คาร์บอนแท้ อลูมิเนียมแท้ รวมถึงการปักโลโก้เฉพาะตัว สร้างรายละเอียดที่หรูหราและพิถีพิถันของตนเอง
Collection: ลูกค้าของ Lotus สามารถเลือกรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่เกิดจากความร่วมมือกันของพันธมิตร ศิลปิน และแบรนด์สุดหรูระดับโลก โดยทาง Lotus Chapman Bespoke ได้ออกแบบคอลเลคชันพิเศษที่ได้นำเสนอประวัติศาสตร์ความเป็นรถแข่งของแบรนด์อย่างรุ่น “Eletre TYPE 79 (Black Gold Edition)” มีแรงบันดาลใจมาจาก Type 79 รถแข่งฟอร์มูล่าวันในตำนานที่นำชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ของ Lotus ในปี 1978 และ “Emeya Blossom (Limited Edition)” คอลเลคชันสุดหรูที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสวนที่ East Carleton Manor ในแต่ละฤดูที่เปลี่ยนไป
One-off: การรังสรรค์รถที่มีเอกลักษณ์เหมือนกับตัวคุณเอง บริการปรับแต่งรถสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อการออกแบบขั้นสูงให้ลูกค้าสามารถเลือกปรับแต่งได้อย่างไร้ข้อจำกัด สามารถสร้างคอนเซปต์ของรถที่บ่งบอกตัวตนให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้ ผ่านทีมออกแบบที่พร้อมคัสตอมไมซ์ทุกรายละเอียดอย่างพิถีพิถัน เพื่อสร้างความโดดเด่นที่แตกต่างมอบให้คุณเพียงคันเดียวในโลก
ร่วมสัมผัสกับยนตกรรม 2 รุ่น เป็นครั้งแรกในงาน Motor Expo 2024: Eletre TYPE 79 และ Emeya Blossom
Lotus Chapman Bespoke นำเสนอยนตรกรรม 2 รุ่นไฮไลต์ที่ไม่เพียงแค่สวยงามโดดเด่น แต่ยังมีดีไซน์ที่สะท้อนจิตวิญญาณและตำนานของ Lotus อย่างแท้จริง:
Eletre TYPE 79 (Black Gold Edition): สัญลักษณ์แห่งความสำเร็จและพลังในสนามแข่ง
ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Lotus Type 79 รถแข่งฟอร์มูล่าวัน ในตำนานที่นำชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่มาสู่ Lotus ในปี 1978 สำหรับรุ่นลิมิเต็ดอิดิชันนี้สะท้อนความสง่างามและทรงพลัง ด้วยสีดำทองที่เป็นเอกลักษณ์ของยุครุ่งเรืองของวงการรถแข่ง Lotus Type 79 ถือเป็นจุดเปลี่ยนของเทคโนโลยีในวงการ F1 ด้วยการนำหลักอากาศพลศาสตร์ Ground Effects มาใช้อย่างเต็มที่ ช่วยเพิ่มแรงกดและความเร็วในการเข้าโค้งจนคว้าแชมป์โลกทั้งในประเภทนักขับและผู้สร้าง โดยช่างเพ้นท์สีฝีมือเยี่ยมของ Lotus ที่ออกแบบโลโก้ Type 79 ตั้งแต่ต้นได้สร้างลวดลายงานเพ้นท์มือที่ผสานอดีตและปัจจุบันไว้อย่างงดงาม
Emeya Blossom (Limited Edition): ความงดงามของธรรมชาติที่ถ่ายทอดผ่านรถหรูอันทรงพลัง รุ่นลิมิเต็ดอิดิชันที่ผลิตเพียง 88 คันทั่วโลก โดดเด่นด้วยการออกแบบภายใต้ธีม ”Summer of the Garden" ที่ผสานความหรูหราและความอ่อนหวานของสวนดอกไม้ในฤดูร้อนอย่างลงตัว ภายนอกโดดเด่นด้วยสีแดงดาห์เลียและสีชมพูอ่อนของดอกกุหลาบ ภายในห้องโดยสารได้รับการตกแต่งใหม่ทั้งหมด เบาะหนังสีสันโดดเด่น พร้อมฉลุลายดอกไม้สไตล์อังกฤษที่สะท้อนถึงความประณีต หนึ่งในจุดเด่นของ Emeya Blossom คือการใช้หินธรรมชาติตกแต่งภายใน สีตัวถังของ Emeya Blossom ใช้กระบวนการเคลือบ 14 ชั้นและขัดเงาเพื่อไล่เฉดสีที่ละเอียดอ่อนทุกขั้นตอนถูกควบคุมอย่างพิถีพิถัน เปรียบได้กับการเปลี่ยนแปลงของสีดอกไม้ในธรรมชาติ
พร้อมสัมผัสสุดยอดรถหรูสมรรถนะสูง 2 รุ่นเรือธง อย่าง
นอกจากนี้ โลตัสคาร์ยังมีรถสปอร์ตให้ท่านได้เป็นเจ้าของความเอ็กซ์คลูซีฟพร้อมส่งมอบ เพียง 4 คันสุดท้ายในประเทศไทย สำหรับ “LOTUS EMIRA First Edition” ด้วยเครื่องยนต์ V6 Supercharged 3.5 และเครื่องยนต์ 2.0 Turbocharged Inline 4 สำหรับ Emira First Edition 4คัน สุดท้ายในเมืองไทย ราคาเริ่มต้นที่ 10,990,000 บาท
ทั้งนี้โลตัสคาร์ขอประกาศราคารถสปอร์ต LOTUS EMIRA MY25 พร้อมเป็นตัวเลือกใหม่สำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์สปอร์ตที่สะท้อนดีเอ็นเอของแบรนด์ได้อย่างดี นำโดยรุ่น
พบกับข้อเสนอพิเศษครั้งแรกในจำนวนจำกัด สำหรับผู้จอง Lotus Pre-Configuration และส่งมอบภายในปี 2024
และพบกับสิทธิพิเศษเฉพาะผู้จองรถในงาน Motor Expo 2024 เท่านั้น!
โอกาสพิเศษนี้มีเพียงครั้งเดียว! เตรียมมาสัมผัสประสบการณ์ขับขี่อันทรงพลังครั้งยิ่งใหญ่กับ LOTUS CARS พร้อมดีลรถ Pre-Configuration สุดเอ็กซ์คลูซีฟจำนวนจำกัด ภายในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41” หรือ “Motor Expo 2024” ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน - 10 ธันวาคม 2567 ณ บูธ B02 อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 อิมแพ็ค เมืองทองธานี