เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 10/2567 ที่มีศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี เป็นรองประธานกรรมการฯ เอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีอี เป็นเลขานุการคณะกรรมการฯ พล.ต.ท. อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมหารือเพื่อดำเนินงานการตามนโยบายปราบปรามภัยออนไลน์ของรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ประเสริฐ เปิดเผยว่าในการประชุมได้มีการพิจารณาผลดำเนินการและมาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ 8 เรื่องที่สำคัญ โดยสรุปได้ดังนี้
1. การปราบปรามจับกุมอาชญากรรมออนไลน์ ในเดือนพฤศจิกายน 2567 (ข้อมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ)
- การจับกุมคดีออนไลน์รวมทุกประเภท พ.ย. 67 มีจำนวน 3,669 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือน ต.ค.67 ที่มีจำนวนการจับกุม 2,256 ราย
- การจับกุมคดีเว็บพนันออนไลน์ พ.ย. 67 มีจำนวน 13,810 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือน ต.ค.67 ที่มีจำนวนการจับกุม 793 ราย
- การจับกุมคดีซิมม้า บัญชีม้า พ.ย. 67 มีจำนวน 2,476 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือน ต.ค.67 ที่มีจำนวนการจับกุม 180 ราย
2. การปิดโซเชียลมีเดีย เว็บผิดกฎหมาย และเว็บพนัน
กระทรวงดีอี ปิดกั้นโซเชียลมีเดีย เพจ/URLs ที่ไม่เหมาะสม (ปีงบประมาณ 68 ตั้งแต่ 1 ต.ค. 67 – 30 พ.ย. 67 ระยะเวลา 2 เดือน)
- การปิดกั้นเว็บไซต์พนันออนไลน์ จำนวน 8,129 (URLs) หลอกลวงออนไลน์ 697 (URLs)
- การประสานแพลตฟอร์มเพื่อขอปิดกั้น เกี่ยวกับเนื้อหาผิดกฎหมายและหลอกลวงออนไลน์ มีคำสั่งศาลจำนวน 2,039 (URLs) ไม่มีคำสั่งศาล จำนวน 8,401 (URLs)
นอกจากนั้น ยังมีการประสานแพลตฟอร์มเพื่อปิดกั้นของหน่วยงานต่าง ๆ เกี่ยวกับการหลอกลวงออนไลน์ อาทิ บช.สอท. จำนวน 26 (URLs) และ ก.ล.ต. จำนวน 1,944 (URLs)
3. การแก้ปัญหาบัญชีม้า เร่งอายัด ตัดตอนการโอนเงิน
ผลการดำเนินงานที่สำคัญถึง 30 พ.ย.67 มีดังนี้
- AOC ระงับบัญชีภายใน 7 วัน จำนวน 265,844 บัญชี ธนาคารระงับบัญชีม้าเทาอ่อนจำนวน 229,432 บัญชี และล็อคบัญชีม้าน้ำตาล จำนวน 456,824 บัญชี รวมแล้วกว่า 952,100 บัญชี
- ปปง. ทำการอายัดบัญชีไปแล้วกว่า 630,537 บัญชี (ณ วันที่ 12 ธ.ค.67)
4.การแก้ไขปัญหาซิมม้า และ ซิมม้าที่ผูกกับ Mobile banking
ผลการดำเนินงานที่สำคัญถึง 30 พ.ย.67 มีดังนี้
- การกวาดล้างซิมม้าและซิมต้องสงสัย โดย สำนักงาน กสทช. และผู้ให้บริการโทรคมนาคมได้ระงับซิมม้าแล้ว จำนวนกว่า 2.7 ล้านเลขหมาย
- การระงับหมายเลขโทรออกเกิน 100 ครั้ง/วัน แล้ว 132,933 เลขหมาย มีผู้มายืนยันตัวตน 418 เลขหมาย ไม่มายืนยันตัวตน 132,515 เลขหมาย (ณ วันที่ 16 ธ.ค.67)
และได้มีการหารือการกำหนดมาตรการคัดกรองผู้ใช้งาน Mobile Banking โดยดำเนินการตรวจสอบข้อมูล Cleansing Mobile Banking จำนวน 120.3 ล้านบัญชี เพื่อออกเป็นมาตรการต่อไป โดยแบ่งกลุ่มผู้ใช้งาน Mobile Banking ที่ต้องทำการตรวจสอบ (ประมาณ 43 ล้านบัญชี) เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มที่ 1 ลูกค้าที่มีสัญชาติไทย ที่ให้บริการโทรคมนาคม แจ้งเป็น M ( ชื่อจดทะเบียนเบอร์โทรไม่ตรงกับบัญชีธนาคาร) ซึ่งเปิดบัญชีตั้งแต่เดือนมกราคม 2565
กลุ่มที่ 2 ลูกค้าต่างชาติ ที่ผู้ให้บริการโทรคมนาคม แจ้งเป็น N ซึ่งเปิดบัญชีตั้งแต่เดือนมกราคม 2565
กลุ่มที่ 3 ลูกค้าของธนาคารที่ที่ผู้ให้บริการโทรคมนาคม แจ้งเป็น P (ไม่พบข้อมูลเบอร์โทร) ซึ่งเปิดบัญชีตั้งแต่เดือนมกราคม
- การส่งข้อความชักชวนหลอกลวง (Sender Name) กรณีของการดำเนินการมาตรการความปลอดภัยสำหรับการส่ง SMS แนบลิงก์สำหรับบริการส่งข้อความสั้นแบบ Application to Person (A2P) กำหนดให้ Sender Name ที่ประสงค์จะส่ง SMS แนบลิงก์ต้องดำเนินการ ลงทะเบียนใหม่ทั้งหมด และจะต้องยืนยันการลงทะเบียนเพื่อต่ออายุทุก ๆ 1 ปี โดยการส่ง SMS แนบลิงก์ทุกครั้ง ผู้ส่งต้องระบุข้อความและลิงก์ก่อนส่ง SMS เป็นตัวอย่าง โดยให้ สกมช. ตรวจความปลอดภัยของข้อมูล และให้ส่งสำเนาไปเก็บที่สำนักงาน กสทช. ก่อนส่ง SMS
ทั้งนี้ การส่ง SMS แนบลิงก์นั้น ต้องเป็นการส่งจาก Platform ไปยังหน้าของ Platform นั้น เท่านั้น จะลิงก์ไปยังอีก Platform ไม่ได้
5. การดำเนินการเรื่องเสาโทรคมนาคม สายสัญญาณอินเทอร์เน็ต และสายโทรศัพท์ที่ผิดกฎหมายตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน
สำนักงาน กสทช. แจ้งดำเนินการรื้อถอนเสาสัญญาณ (สถานี) ในพื้นที่ 7 จังหวัดที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ จังหวัดเชียงราย ตาก สระแก้ว จันทบุรี ระนอง บุรีรัมย์ สุรินทร์ รวม 393 สถานี คิดเป็น 100 %
- ดำเนินยุทธการ “ระเบิดสะพานโจร” ในห้วงเดือน ต.ค. 67 - พ.ย. 67 สำนักงาน กสทช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบการลอบลากสายนำสัญญาณใยแก้วฯ ข้ามแดนเพื่อกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน บริเวณสะพานมิตรภาพไทย -ลาว แห่งที่ 1 (หนองคาย-เวียงจันทน์) จ.หนองคาย จำนวน 28 เส้น พร้อมทำการรื้อถอน
ด้านชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก พบขบวนการลักลอบตั้งฐาน รับ-ส่งสัญญาณแบบจุดต่อจุด เพื่อส่งสัญญาณเน็ตข้ามประเทศ หลายจุดตลอดแนวชายแดนไทย-เมียนมาร์ และ พบการลักลอบพาดสายสัญญาณความเร็วสูงขนาดใหญ่ ข้ามสะพานมิตรภาพไทย -เมียนมาร์ แห่งที่ 1(อ.แม่สอด) จำนวน 16 เส้น
6. มาตรการการป้องกันการโทรหลอกลวง ภายใต้โครงการ DE-fence platform
ตามที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้มีมติที่ประชุม ครั้งที่ 9/2567 เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 เห็นชอบในหลักการของมาตการป้องกันการโทรหลอกลวง โดยให้ดำเนินการจัดทำโครงการพัฒนาแพลตฟอร์มป้องกันการโทรหลอกลวง “DE-fence platform” ขณะนี้ โครงการพัฒนาแพลตฟอร์มป้องกันการโทรหลอกลวง DE-fence ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมเร่งดำเนินการตามกระบวนการต่างๆ โดยคาดว่าแพลตฟอร์ม DE-fence จะสามารถทดลองและเริ่มให้บริการได้ในช่วงเดือน ก.พ. 68
7. การบูรณาการข้อมูล โดยศูนย์ AOC 1441
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ศูนย์ AOC 1441 เป็นแพลตฟอร์มรับและแลกเปลี่ยนข้อมูลบูรณาการข้อมูลหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับการจัดการบัญชีม้า ซิมม้า และคนร้ายได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยได้บูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานดังต่อไปนี้
- เชื่อมโยงข้อมูลร่วมกับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) และ สำนักงาน ปปง. เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันการจดทะเบียนนิติบุคคล กรณีข้อมูลของบุคคลที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งเกี่ยวข้องกับบัญชีม้า
- เชื่อมโยงข้อมูลกับ ระบบ Thai Police Online (TPO) ร่วมกับ บช.สอท. และ NT เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางการเงินจากบัญชีม้าแถวหนึ่งจนถึงแถวสุดท้าย อาทิ ชื่อบัญชี เลขบัญชี ข้อมูลคริปโทเคอร์เรนซี Wallet ID โดย TPO จะรายงานข้อมูลเกี่ยวกับคดีกลับมายังศูนย์ฯ เพื่อนำไปวิเคราะห์ข้อมูล ติดตามสถานะและปัญหาในการดำเนินการในแต่ละคดี เพื่อพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหา หรือออกเป็นมาตรกา รเพื่อให้สามารถมีอำนาจในการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่
- บูรณาการข้อมูลกับศูนย์ปฏิบัติการบูรณาการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศบอท.) และ กสทช. เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลรายชื่อบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงรหัส HR-03 (บัญชีม้า) ร่วมกับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) และ สำนักงาน ปปง.
8. การเพิ่มความเข้มงวดในการจดทะเบียนนิติบุคคล
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้เพิ่มความเข้มงวดในการจดทะเบียนนิติบุคคล ในกรณีนิติบุคคลผู้ขอจดทะเบียนมีความเกี่ยวข้องกับบุคคลซึ่งเป็นผู้มีความเสี่ยงสูง รหัส HR-03 (บัญชีม้า) ของสำนักงาน ปปง. ซึ่งแบ่งเป็น 2 ระยะ ดังนี้
- ระยะที่ 1 ดำเนินการทันที ตรวจสอบกับฐานข้อมูลของนิติบุคคล หากพบว่านิติบุคคลใดมีผู้เป็นหุ้นส่วน กรรมการ หรือ ผู้ถือหุ้นเป็นบุคคลในบัญชี HR-03 กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะแจ้งข้อมูลให้กับศูนย์ AOC 1441 เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่
- ระยะที่ 2 ดำเนินการเมื่อระบบเชื่อมโยงข้อมูล HR-03 พร้อมใช้งาน (1 ม.ค. 68) กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเชื่อมโยงข้อมูล HR-03 จากศูนย์ AOC 1441 เพื่อให้นายทะเบียนตรวจสอบกับคำขอจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลว่ามีรายชื่อในข้อมูล HR-03 หรือไม่ หากตรวจพบจะชะลอการจดทะเบียนไว้ก่อน และเรียกให้บุคคลดังกล่าวมาแสดงตัวเพื่อยืนยันความมีตัวตน
นอกจากนี้ ยังได้มีการเพิ่มเติมมาตรการในการตรวจสอบบัญชีม้า สาขาธนาคารที่มีความเสี่ยงสูง รวมทั้งการบูรณาการข้อมูลบุคคลที่มีรายชื่อในบัญชีม้า เพื่อตรวจสอบการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล คริปโทเคอร์เรนซี ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
“ในภาพรวม กระทรวง ดีอี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้บูรณาการทำงานร่วมกันเพื่อกวาดล้างอาชญากรรมออนไลน์ บัญชีม้าและซิมม้า และเร่งการอายัดบัญชีธนาคาร ตัดเส้นทางการเงิน
การปิดกั้นโซเชียลมีเดียหลอกลวงผิดกฎหมาย และเว็บพนันออนไลน์ พร้อมกันนี้ได้เน้นย้ำมาตรการเพิ่มความเข้มงวดการตรวจสอบการเปิดบัญชีธนาคาร ร่วมกับธปท. และสมาคมธนาคาร โดยเพิ่มการตรวจสอบอย่างละเอียดในแต่ละสาขาของธนาคารที่พบความผิดปกติ อย่างไรก็ตาม คกก.ฯ ได้หารือถึงการเร่งรัดการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง เพื่อลดปัญหาสำหรับประชาชนให้เป็นรูปธรรมตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป” รองนายกฯ ประเสริฐ กล่าว
หากประชาชนโดนหลอกออนไลน์ โทรแจ้งดำเนินการ ระงับ อายัดบัญชี AOC 1441
แจ้งเบาะแส ข่าวปลอม และอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โทรสายด่วน 1111 (24 ชม.)
| Line ID: @antifakenewscenter | เว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com