บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2023 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป จำนวน 4 ชุด อายุหุ้นกู้ตั้งแต่ 3 ปี ถึง 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง [3.15 – 4.00]% ต่อปี ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ในธุรกิจโทรคมนาคม และธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 6-7 และ 10 กุมภาพันธ์ 2568 ผ่าน 7 สถาบันการเงินชั้นนำได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้
ยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น มุ่งสู่การเป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทยอย่างยั่งยืน สะท้อนผ่านผลประกอบการไตรมาส 3/2567 โดยมีกำไรสุทธิ (หลังรายการปรับปรุง) 3.1 พันล้านบาท และ EBITDA ที่เติบโตต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่7 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของรายได้ธุรกิจหลักและการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ โดยเรามุ่งเน้นการลงทุนในโซลูชัน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ล้ำสมัย เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กร พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศผ่านการขยายโครงข่าย 5G อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีผู้ใช้บริการ 5G จำนวน 12.4 ล้านราย เพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
ความโดดเด่นของทรู คอร์ปอเรชั่นยังสะท้อนผ่านการได้รับการจัดอันดับล่าสุด ในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI 2023) โดยได้คะแนนรวมเป็นที่ 1 สูงสุดของโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ด้วยการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และด้วยนวัตกรรมและวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ บริษัทฯ ได้รับความเชื่อมั่นอย่างสูงจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ สะท้อนผ่านราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 120% นับตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อเทียบกับดัชนี SET ที่เพิ่มขึ้นเพียง 1%"
บริษัทฯ และหุ้นกู้ที่เสนอขายได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่“A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2567 ซึ่งสะท้อนถึงสถานะผู้นำทางการตลาด (market position) ในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ เสริมทัพด้วยโครงข่ายทั่วประเทศ ชุดคลื่นความถี่ที่ครอบคลุม และชื่อแบรนด์ที่ผู้บริโภคคุ้นเคย อีกทั้งปัจจัยบวกจากประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการควบรวม รวมถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่คาดว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคตอีกด้วย
ทางด้านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ยถึง 3 ครั้ง โดยครั้งแรกในช่วงเดือนกันยายนมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 4.75-5.00% ครั้งที่ 2 ช่วงเดือนพฤศจิกายน FED ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 4.50-4.75% และล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา FED เองก็ทำตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ด้วยการประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงเหลือ 4.25-4.50% ซึ่งตลาดยังคาดการณ์อีกว่า ในอนาคต FED น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก ส่วนในประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเช่นกัน โดยในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 2.25% และอาจมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอีก จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนในการสะสมหุ้นกู้ในช่วงต้นปี เพื่อล็อคผลตอบแทนไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะนักลงทุนที่นิยมลงทุนในหุ้นกู้ที่มีคุณภาพสูง และด้วยอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” ของทรู น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน”
หุ้นกู้ครั้งนี้จะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) โดยมีอายุหุ้นกู้ระหว่าง 3 ปี ถึง 10 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่ม ตอบโจทย์ทั้งนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว วัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้ โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ และคาดว่าจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 6-7 และวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ซึ่งบริษัทฯ หวังว่าหุ้นกู้ที่เสนอขายในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา โดยหุ้นกู้ทั้ง 4 ชุดที่เสนอขาย มีรายละเอียดดังนี้
1. หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.15 – 3.35]% ต่อปี
2. หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.50 – 3.70]% ต่อปี
3. หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.70 – 3.85]% ต่อปี
4. หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.85 – 4.00]% ต่อปี
ซึ่งเฉพาะรุ่นอายุ 10 ปี ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่หุ้นกู้ครบปีที่ 5 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนบริษัทฯ จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่
สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการสมัคร TrueMoney Wallet Application และวิธีการจองซื้อ ได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6