โดย วีระ
อารีรัตนศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ ซิสโก้ ประเทศไทย
ในปีที่ผ่านมา
ภูมิทัศน์ทางธุรกิจได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้บริษัทต่างๆ
ต้องทบทวนรูปแบบการดำเนินงาน หนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญคือการมี AI
แบบสร้างสรรค์ ในโลกธุรกิจและใช้ในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ ด้วยผลกระทบในวงกว้างในปัจจุบัน AI
อาจมีความสำคัญเหนือกว่าคลาวด์
หรืออินเทอร์เน็ตในฐานะ “ตัวพลิกโฉมเทคโนโลยีที่สร้างการเปลี่ยนแปลง” ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อวิธีที่ธุรกิจจะรับมือกับเรื่องต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องช่องว่างด้านทักษะ ความยั่งยืน และความปลอดภัย
6 แนวโน้มสำคัญที่จะกำหนดภูมิทัศน์ทางธุรกิจของประเทศไทยในปี
2025
1. AI ยังคงมีบทบาทสำคัญในภาคธุรกิจ
แต่การนำมาใช้งานจริงกลับพบอุปสรรคที่ไม่คาดคิด
เป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้วที่ AI กลายเป็นประเด็นหลักในโลกธุรกิจ
แรงกดดันในการนำ AI มาใช้งานยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยทุกบริษัทที่ร่วมผลการสำรวจความพร้อมด้าน
AI ของ Cisco ปี 2024 รายงานว่ามีความเร่งด่วนในการนำโซลูชัน AI
มาใช้เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา
เมื่อองค์กรต่างๆ
เริ่มนำ AI มาใช้ พวกเขาก็ตระหนักว่าการใช้ประโยชน์จาก AI
นั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
มีเพียง 21%
ของบริษัทในไทยที่มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการใช้ประโยชน์จากศักยภาพของ AI
ขณะที่เริ่มปรากฏชัดว่าต้องใช้อะไรบ้างจึงจะประสบความสำเร็จ
แม้ว่า AI จะเป็นการลงทุนที่มีความสำคัญ
แต่หลายบริษัทกำลังพบว่าผลตอบแทนจากการลงทุนเหล่านี้ต่ำกว่าที่คาดหวังไว้
ความท้าทายหลักยังคงเป็นเรื่อง
“ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน” ซึ่งมีช่องว่างในด้านการประมวลผล
เครือข่ายศูนย์ข้อมูล และความปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมถึงด้านอื่นๆ โดยมีเพียง 33%
ของบริษัททั้งหมดที่มี GPU ที่รองรับความต้องการด้าน AI
ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
และน้อยกว่าครึ่ง (47%) ที่มีความสามารถในการปกป้องข้อมูลในโมเดล AI
ด้วยการเข้ารหัสแบบ
end-to-end รวมถึงการตรวจสอบความปลอดภัย การเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง
และการตอบสนองต่อภัยคุกคามแบบทันที
ขณะที่บริษัทต่างๆ
กำลังชั่งน้ำหนักการตัดสินใจระหว่างการพัฒนาหรือซื้อโซลูชัน AI
การปรับปรุงศูนย์ข้อมูลให้ทันสมัยและการใช้โครงสร้างพื้นฐาน
AI แบบ plug-and-play ที่สามารถพัฒนาไปพร้อมกับความต้องการโดยไม่เพิ่มความซับซ้อนก็เป็นสิ่งสำคัญ
ตัวอย่างเช่น AI PODS ของซิสโก้ที่นำเสนอชุดโครงสร้างพื้นฐานที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งาน
AI เฉพาะด้าน โดยรวมการประมวลผล เครือข่าย การจัดเก็บข้อมูล
และการจัดการคลาวด์เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งให้ความยืดหยุ่นแก่บริษัทต่างๆ โดยสามารถปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการเฉพาะของแต่ละองค์กรได้อย่างง่ายดาย
2. เมื่อ AI เข้าถึงได้ง่ายและแพร่หลายมากขึ้น ‘การควบคุม และการกำกับดูแลข้อมูล’ จะกลายเป็นประเด็นสำคัญ
เมื่อ AI
เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันมากขึ้น
ประเด็นการถกเถียงจะมุ่งเน้นไปที่การใช้งานอย่างรับผิดชอบ การปฏิบัติตามกฎระเบียบ
การคุ้มครองข้อมูล กฎหมาย anti-discrimination และมาตรฐานคุณภาพของ
AI
ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนจะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดมาตรฐานและกฎระเบียบที่ส่งเสริมนวัตกรรมและเพิ่มความปลอดภัยของ
AI โดยผู้นำระดับโลกจะเผชิญแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในการนำกรอบการทำงานมาใช้เพื่อเพิ่มความรับผิดชอบของระบบ
AI และจัดการกับปัญหาด้านจริยธรรมและข้อมูลบิดเบือนที่เกิดจากการใช้
AI องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องนำกรอบการทำงานด้าน AI
ที่มีรับผิดชอบมาใช้
ทำการประเมินความเป็นส่วนตัวอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงพัฒนาและนำแผนการจัดการเหตุการณ์ที่มีประสิทธิภาพมาใช้เพื่อให้แน่ใจว่ามีการใช้
AI อย่างรอบคอบ
ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลเป็นอีกหลักการหนึ่งในการกำกับดูแล
AI องค์กรจะเผชิญแรงกดดันในการนำมาตรการมาใช้เพื่อให้การจัดเก็บและประมวลผลสอดคล้องกับกฎหมายท้องถิ่นมากขึ้น
กฎหมายความเป็นส่วนตัวจะยังคงผลักดันความโปร่งใส ความเป็นธรรม
และความรับผิดชอบในด้านต่างๆ เช่น การเก็บรวบรวมและการใช้ข้อมูล
การไหลเวียนของข้อมูลข้ามพรมแดน และการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่สามารถตรวจสอบได้
บริษัทต่างๆ จะต้องพิจารณาวิธีที่พนักงานของตนมีปฏิสัมพันธ์กับระบบ AI
และพัฒนากลยุทธ์เพื่อลดการละเมิดข้อมูลและความเสี่ยงผ่านการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง
3. ความปลอดภัยทางไซเบอร์ยกระดับสู่การทำงานด้วย ‘ระบบอัตโนมัติ’
ขณะที่เครือข่ายจะทำหน้าที่ทั้งเชื่อมต่อและปกป้องทุกสิ่ง
เครือข่ายจะไม่ได้ถูกใช้เพียงเพื่อการเชื่อมต่ออีกต่อไป
เมื่อมีอุปกรณ์และบริการเชื่อมต่อมากขึ้น ความเสี่ยงและความซับซ้อนของการโจมตีจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
เช่น การโจมตีแบบ social
engineering ทำได้ง่ายขึ้นเนื่องจากผู้คนแบ่งปันข้อมูลบนแพลตฟอร์มต่างๆ
การโจมตี supply
chain ก็เป็นปัญหาเช่นกัน
เนื่องจากธุรกิจหลายแห่งใช้ผู้ให้บริการเทคโนโลยีที่ซับซ้อนในการดำเนินงาน
ความก้าวหน้าในด้านต่างๆ เช่น ควอนตัมคอมพิวติ้งก็จะยิ่งทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้น
สิ่งเหล่านี้จะผลักดันให้ความปลอดภัยทางไซเบอร์ต้องทำงานโดยอัติโนมัติ
เครือข่ายจะกลายเป็นเสาหลักสำคัญในการจัดการเวิร์คโหลด
และทำหน้าที่เป็นทั้งด่านแรกและด่านสุดท้ายในการป้องกันความปลอดภัย และจะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเมื่อการโจมตีใช้วิธีการเคลื่อนที่แบบแนวราบ
(lateral movement
attacks) ที่เข้าถึงจุดเดียวเพื่อแทรกซึมเข้าสู่ส่วนที่เหลือของเครือข่ายและเจาะลึกเข้าไปในระบบขององค์กร
AI จะเปลี่ยนโฉมความปลอดภัย
โดยช่วยทีมรักษาความปลอดภัยจัดการเครื่องมือง่ายขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการวิเคราะห์และการตัดสินใจของมนุษย์ให้แม่นยำมากขึ้น
และทำให้ขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อนเป็นแบบอัตโนมัติ
นวัตกรรมที่ผสานความปลอดภัยเข้ากับโครงสร้างของเครือข่าย เช่น Hypershield ที่ถูกออกแบบให้เสริมการบังคับใช้ความปลอดภัยเข้าไปในซิลิคอนขั้นสูงในเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์เครือข่าย
จะกำหนดความสามารถใหม่ให้ธุรกิจในการตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
รวมทั้งสามารถอัปเดตและแก้ไขทั้งหมดด้วยทีมงานขนาดเล็ก
ขอบเขตใหม่ของความปลอดภัยไม่เพียงเกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยภายในองค์กรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอีโคซิสเต็มของพันธมิตรและเวนเดอร์ เมื่อระบบรักษาความปลอดภัยมีการกระจายตัวสูงและข้อมูลมีการเชื่อมโยงถึงกันทั้งระบบ องค์กรที่สามารถใช้ประโยชน์จากเครือข่ายจะกลายเป็นองค์กรที่มีความยืดหยุ่นทางดิจิทัลและสามารถป้องกันตนเองได้
4. บริษัทต่างๆ
จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือในการรักษาสมดุลระหว่าง ‘ความยั่งยืน และการเติบโต’ ในยุคที่ขับเคลื่อนด้วย
AI
การแข่งขันด้าน AI จะยังคงเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นำไปสู่ระดับการใช้พลังงานที่สูงขึ้น
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการปล่อยคาร์บอนในทุกระดับ โดยคาดการณ์ว่าภายในปี 2570 การใช้งาน AI เพียงอย่างเดียวจะใช้น้ำมากเท่ากับประเทศนิวซีแลนด์ทั้งประเทศ
ในโลกที่เป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์และการลดการปล่อยคาร์บอนมีความสำคัญมาก
บริษัทต่างๆ
จำเป็นต้องหาโซลูชันที่สร้างสมดุลระหว่างเป้าหมายด้านความยั่งยืนกับโอกาสการเติบโตจาก AI
เพื่อให้เกิดความสมดุล
ธุรกิจจะมองหาพันธมิตรที่สามารถจัดหาผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่ประหยัดพลังงาน
หรือช่วยให้พวกเขาปรับใช้โมเดลธุรกิจแบบหมุนเวียนที่สอดคล้องกับการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์มากขึ้น
AI จะมีบทบาทสำคัญในการปลดล็อกประสิทธิภาพให้กับธุรกิจ
เราเห็น AI ประกาศศักราชใหม่ของเครือข่ายพลังงาน ซึ่งรวมความสามารถของเครือข่ายที่กำหนดด้วยซอฟต์แวร์
และระบบไฟฟ้าที่ประกอบด้วยไมโครกริดกระแสตรง (DC)
ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
รวมถึงการมองเห็น ข้อมูลเชิงลึก และการทำงานอัตโนมัติที่มากขึ้น
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในด้านวัสดุและกระบวนการออกแบบยังช่วยสร้างสมดุลให้กับความต้องการด้านความยั่งยืน
สถาปัตยกรรมอย่าง Cisco Silicon One chip สามารถทำงานได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยฮาร์ดแวร์ที่น้อยลง
ลดการใช้พลังงานโดยรวม
พร้อมทั้งลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ด้วยการยืดอายุการใช้งานอุปกรณ์
โปรแกรมการรับคืนและนำกลับมาใช้ใหม่ที่อนุญาตให้บริษัทต่างๆ
ส่งคืนฮาร์ดแวร์ที่หมดอายุการใช้งานจะมีความสำคัญมากขึ้น
5. มนุษย์และ AI จะอยู่ร่วมกันในแรงงานยุคต่อไป
อนาคตของการทำงานจะไม่ใช่การเลือกระหว่างมนุษย์หรือเครื่องจักรเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ทั้งสองฝ่ายจะอยู่ร่วมกันเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วง AI จะพัฒนาจากการเป็นเพียงผู้สนับสนุนงาน สู่การเป็น “ส่วนสำคัญของแรงงานในอนาคต” ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนทักษะในอุตสาหกรรมต่างๆ
การขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถในภาคเทคโนโลยีเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริง และทวีความรุนแรงขึ้นจากการมีประชากรสูงวัยในหลายประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย
การเคลื่อนย้ายแรงงานและความหลากหลายของประชากรที่เข้าสู่ตลาดแรงงานจะช่วยบรรเทาแรงกดดันเหล่านี้ได้
พนักงานที่สามารถใช้ประโยชน์จาก
AI ในการทำงานจะมีผลงานที่ดีกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้ AI
ทั้งในด้านคุณภาพของงาน
ผลผลิต และประสิทธิภาพ การมีทักษะที่เหมาะสมในการใช้ประโยชน์จาก AI
จะมีความสำคัญ และพนักงานทุกคนจะต้องพัฒนาทักษะของตนเองเพื่อเท่าทันยุคสมัย
โครงการริเริ่มต่างๆ เช่น Cisco Networking Academy ที่ให้การฝึกอบรมทักษะดิจิทัลรวมถึงความปลอดภัยทางไซเบอร์
มีความสำคัญในการลดช่องว่างด้านทักษะดิจิทัล เมื่อเทคโนโลยียังคงก้าวหน้าต่อไป
การพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่องตามยุคสมัย และการใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมล่าสุดจึงเป็นสิ่งสำคัญ
6. องค์กรจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้
ต้องอาศัยการสร้าง ‘คุณค่าขององค์กร’ ควบคู่ไปกับการสร้าง ‘ความไว้วางใจ’
การกลับมาทำงานที่บริษัทควรเป็นแรงดึงดูด
ไม่ใช่ข้อบังคับ เมื่อเรามองภาพอนาคตของการทำงาน
จะเป็นการทำงานที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี
ซึ่งบทบาทในการทำงานจะพัฒนาไปพร้อมกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
และผู้คนจะแสวงหาความยืดหยุ่นในการทำงานอย่างเป็นธรรมชาติ
เมื่อพนักงานปรับเปลี่ยนมุมมองจากการมาบริษัทเพื่อมุ่งหน้าทำงานอย่างเดียว
มาเป็นการทำงานร่วมกับทีม และสร้างนวัตกรรม นายจ้างจึงต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการทำงาน
ไม่ว่าจะเป็นประเภทของงาน
สถานที่ หรือผู้ทำงาน ‘ความไว้วางใจ’ เป็นองค์ประกอบสำคัญในทุกขั้นตอนของกระบวนการ
นายจ้างต้องไว้วางใจว่าพวกเขาได้จ้างคนที่เหมาะสมสำหรับบทบาทที่เหมาะสม
และพนักงานจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ในทำนองเดียวกัน
พนักงานต้องไว้วางใจว่าความพยายามของพวกเขาจะได้รับการยอมรับ
พร้อมโอกาสในการเติบโตและพัฒนา ความไว้วางใจจะกลายเป็นความสัมพันธ์แบบต่างตอบแทน องค์กรที่สร้างและรักษาความไว้วางใจนี้ไว้ได้
จะมีประสิทธิภาพและผลงานที่เหนือกว่าคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัด