ในขณะที่ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์และจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นยังคงเป็นปัญหาสำคัญในวงการสาธารณสุข องค์กรด้านเฮลท์แคร์และผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขทั่วโลกจึงจำเป็นต้องพัฒนาและหาแนวทางในการให้บริการสาธารณสุขที่ดีกว่า พร้อมๆไปกับการตระหนักถึงความสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในบทความนี้จะขอนำทุกท่านไปอัปเดต 10 เทรนด์เทคโนโลยีทางการแพทย์ในปีค.ศ. 2025 ที่จะมาช่วยส่งมอบการดูแลรักษาที่ดีกว่าให้กับผู้คนได้มากขึ้นอย่างยั่งยืน
1. Generative AI: เทคโนโลยีที่มาเป็นผู้ช่วยเพื่อลดเวลาทำงาน
เมื่อจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอและต้องรับภาระงานที่หนัก ผู้บริหารชั้นนำในวงการเฮลท์แคร์จึงหันมาใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติเพื่อลดภาระงานให้กับบุคลากรทางการแพทย์ โดยจากผลสำรวจ 2024 Philips Future Health Index report เผยให้เห็นว่า 92% ของผู้บริหารชั้นนำในวงการเฮลท์แคร์เชื่อว่า เทคโนโลยีอัตโนมัติเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยแก้ไขปัญหาด้านการขาดแคลนบุคลากร โดยเทคโนโลยีอัตโนมัติสามารถช่วยลดงานและกระบวนการที่ซ้ำซ้อนได้ ในขณะที่กว่าร้อยละ 90 ยังเชื่อว่าเทคโนโลยีอัตโนมัติจะลดภาระงานด้านเอกสาร ทำให้บุคลากรทางการแพทย์มีเวลาในการดูแลรักษาผู้ป่วยได้มากขึ้น
Generative AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสนับสนุนเทคโนโลยีทางการแพทย์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ตลอดระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดังนั้น 85% ของผู้บริหารชั้นนำในวงการเฮลท์แคร์ทั่วโลกจึงหันมาลงทุนหรือมีแผนที่จะลงทุนใน Generative AI ภายในสามปีข้างหน้า ซึ่งคาดว่าเทรนด์นี้จะมาแรงในช่วงปี 2025 นี้
ในปัจจุบัน Generative AI สามารถเป็นผู้ช่วยเสมือนจริงที่ช่วยลดระยะเวลาทำงานให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ด้วยโมเดลด้านภาษาขนาดใหญ่ที่มาช่วยจัดระเบียบบันทึกทางคลีนิกและช่วยสื่อสารข้อมูลผู้ป่วยระหว่างทีมต่างๆ ให้เป็นไปได้อย่างง่ายดาย สำหรับการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง Generative AI สามารถช่วยด้านการจัดการรายงานประวัติผู้ป่วยจำนวนมาก เพื่อให้ทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการดูแลรักษาผู้ป่วยสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของผู้ป่วยได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยจัดงานรายงานและประมวลผลข้อมูลทางการแพทย์ที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายได้อีกด้วย ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลรักษาตัวเองได้
2. ทำให้การวินิจฉัยที่ซับซ้อนเป็นเรื่องง่ายด้วย
AI
แม้ว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะช่วยปรับปรุงการการทำงานด้านบริหารจัดการและเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยได้อย่างมาก แต่บทบาทของ AI ในด้านสาธารณสุขไม่ได้มีเพียงแต่ในด้านการทำงานระบบอัตโนมัติ แต่ AI ยังสามารถช่วยยกระดับทักษะของบุคลากรทางการแพทย์ได้อีกด้วย ในขณะที่บุคลากรทางการแพทย์ที่มีประสบการณ์เฉพาะทางขาดแคลนในหลายๆ พื้นที่ทั่วโลก แต่หากมีการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้จะช่วยให้การวินิจฉัยที่ซับซ้อนกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น และช่วยให้บุคลากรรุ่นใหม่สามารถให้การดูแลรักษาที่มีประสิทธภาพได้อย่างมั่นใจ
ตัวอย่างเช่น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี AI ทำให้การสแกนหัวใจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ cardiac CT เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขสามารถเข้าถึงเครื่องมือได้มากขึ้น และช่วยเพิ่มศักยภาพและส่งมอบบริการในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ บุคลากรทางการแพทย์ที่มีประสบการณ์น้อย ยังสามารถขอคำปรึกษาจากแพทย์เฉพาะทางที่ส่วนกลางผ่านระบบทางไกล หรือการฝึกอบรมผ่านทางออนไลน์ เพื่อให้มั่นใจในการดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
การนำ AI เข้ามาใช้ในกระบวนการรักษามะเร็งยังสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วย โดยเฉพาะในด้านช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจที่เกิดจากการรักษามะเร็ง อย่างการใช้รังสีรักษาและเคมีบำบัด โดยงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยมะเร็งที่เป็นผู้ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งชนิดใดที่ผ่านการรักษามะเร็ง มีความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจสูงถึง 37% [1] ด้วยเทคโนโลยี AI ล่าสุดสามารถตรวจจับสัญญาณของการเป็นพิษต่อหัวใจ (cardiotoxicity) ได้เร็วขึ้นในระหว่างการรักษา ผ่านระบบตรวจจับอัตโนมัติในการวัดค่าการทำงานของหัวใจ (Echocardiographic) และช่วยปรับปรุงกระบวนการทำซ้ำและลดเวลาในการศึกษาผล ช่วยให้กระบวนการรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการรักษาล่าช้า ซึ่งส่งผลดีต่อผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องเผชิญกับโรคหัวใจที่รุนแรงหลังการรักษา
3. ศัลยกรรมยุคใหม่
การปฏิวัติเงียบๆ ในวงการศัลยกรรมได้เริ่มแผ่ขยายเป็นวงกว้าง เมื่อการผ่าตัดเล็ก (minimal invasive) กำลังเข้ามาแทนที่การผ่าตัดใหญ่แบบดั้งเดิม โดยการผ่าตัดเล็กมาเปลี่ยนแปลงแนวทางการรักษาแบบเดิมโดยเฉพาะในด้านการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น ลดความเจ็บปวด และลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนได้ดีขึ้น
จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ ทำให้การศัลยกรรมหรือผ่าตัดเล็กแบบ minimally invasive ก้าวหน้าไปอีกขั้น แต่ก็มีความซับซ้อนมากขึ้นเช่นกัน แพทย์จำเป็นต้องรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากเครื่องมือการตรวจวินิจฉัยที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ภาพเอ็กซเรย์ 2 มิติ แบบภาพสด, ภาพจากอัลตราซาวด์แบบ 3 มิติ, การตรวจด้วยอัลตราซาวด์หลอดเลือด (IVUS) และการวัดการไหลเวียนของเลือด (FFR หรือ iFR) และในขณะเดียวกันก็ต้องประเมินและติดตามภาวะของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ดังนั้นการเชื่อมต่อของระบบ ซอฟต์แวร์ และเครื่องมือต่างๆ จึงมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น การบูรณาการระบบเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์ศัลยกรรมสามารถวางแผนการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยได้ด้วยความมั่นใจ
ตัวอย่างนวัตกรรมล่าสุดของฟิลิปส์ในกลุ่ม Image-guided therapy ช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง เพราะทุกๆ 2 วินาที จะพบผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุอันดับสองของการเสียชีวิตทั่วโลก และเป็นสาเหตุหลักของภาวะความพิการในระยะยาว อย่างไรก็ตาม น้อยกว่า 5% ของประชากรทั่วโลกที่สามารถเข้าถึงการรักษาได้ทันท่วงที ด้วยการสวนหลอดเลือดแบบไม่ต้องผ่าตัด (mechanical thrombectomy) หรือการผ่าตัดเล็ก (minimal invasive) ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูง [2] นอกจากนี้การเพิ่มการเข้าถึงการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง ด้วยการเพิ่มจำนวนโรงพยาบาลที่มีความพร้อม และเพิ่มการฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์เกี่ยวกับเทคนิคการรักษาแนวทางใหม่ล่าสุดแบบผ่าตัดเล็ก ถือเป็นภารกิจสำคัญที่ฟิลิปส์มุ่งมั่นจะทำต่อร่วมกับองค์การโรคหลอดเลือดสมองโลก (World Stroke Organization)
4. ความสำคัญของข้อมูลในการดูแลรักษาผู้ป่วยวิกฤต
การดูแลผู้ป่วยวิกฤต เวลาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง แต่มักจะไม่ทันการณ์เสมอ
บุคลากรทางการแพทย์มักจะเสียเวลาในการรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยจากหลากหลายแหล่ง
การใช้ระบบข้อมูลสารสนเทศที่เชื่อมต่อเป็น
วงกว้างสำหรับติดตามอาการผู้ป่วยจะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ ด้วยการเชื่อมต่อข้อมูลจากเครื่องมือและเทคโนโลยีที่แตกต่างเข้าไว้ด้วยกัน
เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับผู้ป่วยที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากทุกจุดในโรงพยาบาล
ในปี 2025 เราจะได้เห็นความก้าวหน้าของเครื่องติดตามสัญญาณชีพที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบข้อมูลสารสนเทศที่รวบรวมข้อมูลจากเครื่องมือและเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่หลากหลาย เราจะได้เห็นการบูรณาการของเครื่องมือทางการแพทย์และการเชื่อมต่อของเทคโนโลยีจากหลากหลายแบรนด์เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสนับสนุนการดูแลผู้ป่วยวิกฤตให้กับผู้ให้บริการสาธารณสุข ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพทางคลีนิก ความแม่นยำของข้อมูล และการเพิ่มเวลาให้กับเจ้าหน้าที่ในการดูแลผู้ป่วยมากขึ้น ความร่วมมือและการพัฒนาร่วมกันในอุตสาหกรรมจะช่วยทำให้ระบบและอุปกรณ์ต่างๆ สามารถ "สื่อสาร" กันได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้สามารถส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยได้อย่างสะดวกมากขึ้น
นอกจากนี้ การทลายกำแพงของการเชื่อมต่อข้อมูลจะทำให้เราสามารถพัฒนาอัลกอริธึมที่ช่วยให้ทีมแพทย์สามารถประเมินและคาดการณ์อาการของผู้ป่วยได้ล่วงหน้า
และป้องกันความรุนแรงในผู้ป่วยได้
เราเพิ่งจะเริ่มหาแนวทางในการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงในการดูแลผู้ป่วยวิกฤต เพื่อการตั้งค่าแจ้งเตือนหากพบความผิดปกติหรือกรณีฉุกเฉิน ในอนาคต เทคโนโลยี AI จะสามารถให้คำแนะนำเฉพาะบุคคลได้ ด้วยการเปรียบเทียบข้อมูลทั้งหมดของผู้ป่วยกับเคสอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันหลายพันเคส เพื่อหาแนวทางรักษาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
5. การดูแลรักษาที่บ้านที่เพิ่มขึ้น
เทรนด์เทคโนโลยีทางการแพทย์ไม่ได้มีเฉพาะในโรงพยาบาลเท่านั้น แต่อีกหนึ่งเทรนด์ที่สำคัญไม่แพ้กันและกำลังได้รับความสนใจมากขึ้นในปี 2025 คือ การดูแลสุขภาพนอกโรงพยาบาล โปรแกรม "การดูแลรักษาที่บ้าน" (Hospital-at-home) มีความต้องการเพิ่มขึ้น เพราะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาเหมือนในโรงพยาบาลจากทุกที่
เทคโนโลยีการติดตามสัญญาณชีพผู้ป่วยระยะไกล (Remote patient monitoring) มีบทบาทสำคัญ ด้วยการส่งผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ เพื่อช่วยประเมินและดูแลผู้ป่วยจากระยะไกล นอกจากนี้ยังได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการลดอัตราการกลับเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรังอย่างเช่นผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวอีกด้วย และสามารถติดตามอาการผู้ป่วยหลังการผ่าตัด ทำให้ผู้ป่วยสามารถออกจากโรงพยาบาลได้อย่างเร็วขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น ส่งผลให้โรงพยาบาลสามารถบริหารจัดการเตียงในโรงพยาบาลที่มีอย่างจำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถดูแลรักษาผู้ป่วยที่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้มากขึ้น
ในปี 2025 เราจะได้เห็นความก้าวหน้าของ AI และการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์
(Predictive analytics)
ที่จะมาช่วยติดตามและประเมินความเสี่ยงของอาการผู้ป่วยจากระยะไกล
โดยใช้ข้อมูลสัญญาณชีพและข้อมูลอื่นๆ ในการประเมินร่วมกัน จากรายงาน Future
Health Index 2024 พบว่าเทคโนโลยีติดตามสัญญาณชีพผู้ป่วยจากระยะไกล
จะเป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีการนำ AI มาใช้มากที่สุดในอีกสามปีข้างหน้า
และ 41% ของผู้บริหารชั้นนำในวงการเฮลท์แคร์วางแผนที่จะลงทุนในเทคโนโลยีนี้
การใช้เทคโนโลยีติดตามสัญญาณชีพระยะไกลไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและการกลับเข้าโรงพยาบาลได้เท่านั้น
แต่ยังช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและได้รับความสบายใจเมื่อได้อยู่ที่บ้าน
6. เทเลเฮลท์ (Telehealth) สามารถเข้าถึงผู้ป่วยได้ทุกที่
การรักษาพยาบาลผ่านทางออนไลน์ (Virtual Care) เพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ช่วงวิกฤตโควิด-19 จนถึงวันนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านบริการสาธารณสุขทั่วโลก เพื่อผลลัพธ์ด้านสาธารณสุขที่ดีกว่าด้วย ทรัพยากรที่อยู่อย่างจำกัด การเข้าถึงระบบสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกล หรือชุมชนที่ด้อยโอกาสเป็นหนึ่งในเรื่องที่สำคัญเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต ความเท่าเทียม และการดูแลผู้ป่วยอย่างทั่วถึง
อย่างการใช้เครื่องติดตามสัญญาณชีพทางไกลและการใช้เครื่องอัลตราซาวด์ ณ จุดบริการตรวจ ร่วมกับการปรึกษาผ่านทางวิดีโอออนไลน์แบบเรียลไทม์ เป็นหนึ่งในแนวทางการดูแลรักษาแบบเทเลเฮลท์ (Telehealth) ที่เข้ามาช่วยให้ผู้คนเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้มากขึ้นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม อีกทั้งยังช่วยลดการเดินทางไปพบแพทย์ที่อยู่ห่างไกลได้ ด้วยการใช้เทคโนโลยีเทเลเฮลท์แพทย์ประจำ ณ สถานพยาบาลปฐมภูมิจะสามารถให้การดูแลรักษาผู้ป่วยได้ถึง 40% ร่วมกับการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผ่านทางอนไลน์ [3]
ปัจจุบันการใช้เทคโนโลยีการดูแลรักษาทางไกล (Telemedicine) ได้รับการยอมรับและนำมาใช้ทั่วโลก ตัวอย่างเช่น ผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขในประเทศอินโดนีเซีย เผชิญกับความท้าทายด้านการเข้าถึงระบบสาธารณสุข เนื่องจากเป็นภูมิประเทศที่เป็นหมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก จึงได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มการเข้าถึงและคุณภาพการบริการด้านสาธารณสุขตามยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุขของรัฐบาล การดูแลรักษาทางไกล (Telemedicine) เครื่องติดตามสัญญาณชีพทางไกล และ AI เป็นเครื่องมือสำคัญของอินโดนีเซียที่ใช้เพื่อให้บริการสาธารณสุขแก่ผู้ป่วยแม้ในพื้นที่ห่างไกล
7. ข้อมูลสารสนเทศและดิจิทัลเฮลท์ตอบโจทย์พ่อแม่ยุคใหม่
การเลี้ยงดูลูกในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางดิจิทัลมากขึ้น ด้วยการใช้สมาร์ทดีไวซ์และแอปพลิเคชันต่างๆ พ่อแม่ยุคใหม่เข้าถึงข้อมูลที่ช่วยให้พวกเขาสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของลูกได้อย่างมั่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยี AI ที่ไม่เพียงแต่สามารถช่วยในการติดตามและประเมินด้านสุขภาพ แต่ยังสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกและคาดการณ์แนวโน้มพฤติกรรมของเด็กได้อีกด้วย
ในปี 2025 นี้คาดว่าจะมีคุณพ่อคุณแม่จำนวนมากขึ้น โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ที่ใช้แอปพลิเคชันและเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เพื่อช่วยในการดูแลลูกๆ โดยงานวิจัยของเราแสดงให้เห็นว่า 80% ของพ่อแม่ในสหรัฐอเมริกา และ 79% ของพ่อแม่ในยุโรปสวมใส่หรือใช้อุปกรณ์สมาร์ทเทคโนโลยี [4,5] ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการนำข้อมูลจากสมาร์ทเทคโนโลยีเหล่านั้นมาช่วยในการดูแลด้านความปลอดภัยและสุขภาพของลูก
อุปกรณ์ภายในบ้านเชื่อมต่อกันมากขึ้นผ่านระบบสมาร์ทโฮม (Smart Home) ทำให้พ่อแม่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฟีเจอร์วิดีโอและการฟังเพลงผ่านโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สวมใส่ (wearables) และสมาร์ทดีไวซ์ เช่น ถุงเท้า จุกนม และเครื่องติดตามต่างๆ สามารถให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับกิจกรรมหรือสัญญาณชีพของเด็กๆ ได้ รวมถึงการหายใจ อุณหภูมิร่างกาย และอัตราการเต้นของหัวใจด้วย อุปกรณ์ติดตามที่มี AI บางอย่าง ยังสามารถแปลเสียงร้องของทารก เพื่อให้ผู้ปกครองทราบถึงความต้องการของลูก เช่น ความหิว หรือความต้องการอื่นๆ ได้รวดเร็วขึ้น
เป็นที่ชัดเจนว่าเครื่องมือดิจิทัลกำลังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการเลี้ยงดูลูกยุคใหม่ และถึงแม้ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะไม่สามารถทดแทนการดูแลลูกด้วยการลงมือทำจริงๆ แต่เครื่องมือเหล่านี้ก็สามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และช่วยให้พ่อแม่รู้สึกมั่นใจในการดูแลลูกมากขึ้น
8. นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน
จากเทรนด์เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่กล่าวถึงข้างต้น ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เป็นเทคโนโลยีที่ศักยภาพอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงวงการสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ พัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน และ AI ยังช่วยในด้านการพัฒนาความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการแพทย์อีกด้วย
อุตสาหกรรมด้านเฮลท์แคร์มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกถึง 4.4% [6] ซึ่งมากกว่าอุตสาหกรรมการบินและการขนส่ง แต่เทคโนโลยี AI สามารถช่วยวิเคราะห์ห่วงโซ่อุปทานและระบุจุดที่ต้องปรับปรุงได้ ไม่ว่าจะเป็น การลดขยะและของเสีย หรือการปรับปรุงการจัดการสถานพยาบาล นอกจากนี้ AI ยังช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการถ่ายภาพรังสีวินิจฉัย แต่ทำให้ลดการใช้พลังงานต่อการสแกนแต่ละครั้ง ดังนั้นการใช้ AI เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่น่าจับตาสำหรับปี 2025 และปีต่อๆ ไป
อย่างไรก็ตามเมื่อมีการใช้งาน AI มากขึ้น อาจนำไปสู่ผลกระทบที่ไม่คาดคิดต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากดิจิทัลโซลูชั่นส์จำเป็นต้องใช้พลังงานและทรัพยากรในกระบวนการและการจัดเก็บข้อมูล พร้อมกับการใช้น้ำเพื่อทำความเย็นให้กับดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีความร้อนสูง ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนในการเพิ่มการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ของอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ นอกจากนี้ การใช้ AI ยังเพิ่มการใช้พลังงานถึงปีละ 26% ถึง 36% และการใช้พลังงานของดาต้าเซ็นเตอร์อาจเพิ่มขึ้น 3 เท่าภายใน 4 ปี [7] ในขณะที่ขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-waste) ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่ต้องตระหนัก ในขณะที่ Generative AI ถูกคาดการณ์ว่าจะสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์ถึง 2.5 ล้านตันภายในปี 2030 [8] ขณะที่เราขับเคลื่อนวงการเฮลท์แคร์สู่ยุคดิจิทัล ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์จึงจำเป็นต้องพัฒนานวัตกรรมที่คำนึงสิ่งแวดล้อม และลดการใช้พลังงาน ทรัพยากร และน้ำให้ได้มากที่สุด เพื่อลดผลกระทบในระยะยาว
9. ความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทาน
เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน
การปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ หรือประมาณ 71% มาจากห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่กระบวนการผลิต การขนส่ง ไปจนถึงกระบวนการกำจัดสินค้าหรือบริการ [9] จริงๆ แล้ว การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ จาก 3 ภาคส่วน คาดว่าจะช่วยลดผลกระทบได้ถึง 7 เท่าเทียบกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ จากการดำเนินงานขององค์กร องค์กรด้านสาธารณสุขเริ่มตระหนักถึงความสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ในห่วงโซ่อุปทานมากขึ้น ไม่เพียงแต่เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายของแต่ละประเทศเท่านั้น แต่ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและส่งผลต่อผลประกอบการในระยะยาวอีกด้วย ดังนั้นความร่วมมือกับพันธมิตรและคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทานจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
ความโปร่งใสและความยั่งยืนเป็นปัจจัยสำคัญในห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ไปจนถึงความร่วมมือกับซัพพลายเออร์ จากรายงาน Future Health Index ปี 2024 พบว่าภายในสามปีข้างหน้า 41% ของผู้บริหารชั้นนำในวงการเฮลท์แคร์มีแผนที่จะเลือกซัพพลายเออร์ที่ให้ความสำคัญด้านความยั่งยืน และ 41% ของผู้บริหารชั้นนำในวงการเฮลท์แคร์ยังมีแผนที่จะใช้กลยุทธ์การจัดซื้ออย่างยั่งยืน ที่รวมถึงการใช้อุปกรณ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ในขณะที่ ฟิลิปส์ มุ่งมั่นทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ของเรา เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและนำแนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนมาใช้ ซึ่งการจัดหาสินค้าและบริการอย่างมีความรับผิดชอบนี้จะสร้างผลกระทบเชิงบวกให้ทั้งห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ได้
ยกตัวอย่างเช่น โปรแกรม Refurbishment ที่เน้นการใช้วัสดุสิ้นเปลืองและพลังงานน้อยลง การใช้อุปกรณ์ให้นานขึ้นผ่านการอัพเกรด และการนำกลับมาใช้ซ้ำ จะช่วยลดการใช้ทรัพยากรและลดขยะได้ โดยมีการคาดการณ์ว่าตลาดเครื่องมือการแพทย์ที่มีการนำกลับมาใช้ใหม่ (Refurbished) จะเติบโตจาก 17.05 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 ไปถึง 30.78 พันล้านดอลลาร์ในปี 2029 [10]
10. การสร้างระบบสาธารณสุขด้วยเทคโนโลยีที่รองรับการเปลี่ยนแปลงด้านอากาศ
เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนที่เกิดขึ้นทั่วโลกกำลังก่อให้เกิดความท้าทาย
โรงพยาบาลและระบบสาธารณสุขจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น
เนื่องจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อสุขภาพในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น
การเสียชีวิตและโรคที่เกิดจากความร้อน ภัยแล้ง น้ำท่วม มลพิษทางอากาศ ไฟป่า
และอื่นๆ [11] สถานพยาบาลหลายแห่งมีจำนวนผู้ป่วยที่เกิดจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงมากขึ้น
แต่ไม่ทุกแห่งที่สามารถรับมือกับการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยได้ และไม่เพียงการรับมือกับการดูแลรักษาผู้ป่วยเท่านั้น
แต่ระบบสาธารณสุขและสถานพยาบาลยังต้องเตรียมรับมือด้านการดำเนินงานและสถานประกอบการด้วย
ในปี 2025 มีการถกในประเด็นนี้มากขึ้นในระดับโลก โดยคาดว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้วงการสาธารณสุขพร้อมรับมือกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้น
ทางหนึ่งคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีความยืดหยุ่นและสามารถรองรับการให้บริการได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
แม้จะเผชิญกับภัยพิบัติทางอากาศ รวมถึงการใช้พลังงานทดแทน และการนำแนวทางการปฏิบัติอย่างยั่งยืนมาใช้
นอกจากนี้การฝึกอบรมและเพิ่มทักษะเกี่ยวกับการจัดการโรคที่เกี่ยวข้องการความร้อน หรือโรคที่มียุงเป็นพาหะ ยังช่วยเตรียมความพร้อมให้กับบุคลากรทางการแพทย์และผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขในการดูแลรักษาผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ระบบเตือนภัยล่วงหน้าก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงด้านสุขภาพ และเสริมสร้างสุขภาพเชิงป้องกันภายในชุมชน เพื่อให้สามารถจัดการกับโรคที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับท้องถิ่นได้
การเตรียมความพร้อมและการดำเนินการตามแนวทางข้างต้น จะช่วยให้ระบบสาธารณสุขสามารถรับมือต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ดีขึ้น และมั่นใจในสุขภาพที่ดีของทุกคนในอนาคตได้[i]
เกี่ยวกับ รอยัล ฟิลิปส์
รอยัล ฟิลิปส์ (NYSE: PHG, AEX: PHIA) เป็นบริษัทชั้นนำด้านานเทคโนโลยีเพื่อการดูแลสุขภาพ มุ่งเน้นการพัฒนาด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนผ่านนวัตกรรมอันทรงคุณค่า นวัตกรรมของฟิลิปส์ถูกคิดค้นและออกแบบโดยคำนึงถึงตัวผู้ป่วยและคุณภาพชีวิตของผู้คน ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงและข้อมูลเชิงลึกด้านคลินิกประกอบกับความต้องการของผู้บริโภค เพื่อส่งมอบโซลูชันส์เพื่อการดูแลสุขภาพส่วนบุคคลสำหรับผู้บริโภค และโซลูชันส์เพื่อการดูแลสุขภาพระดับมืออาชีพสำหรับผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขและการให้บริการผู้ป่วยทั้งในโรงพยาบาลและที่บ้านอย่างมีประสิทธิภาพฟิลิปส์ สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นผู้นำด้านเครื่องมือทางการแพทย์ด้านการตรวจวินิจฉัยทางรังสี, อัลตราซาวด์, Image Guided Therapy, เครื่องติดตามสัญญาณชีพ และระบบข้อมูลสารสนเทศ รวมถึงด้านสุขภาพส่วนบุคคล โดยในปีค.ศ. 2023 ฟิลิปส์มียอดขายทั่วโลกกว่า 18.2 พันล้านยูโร และมีพนักงานประมาณ 69,700 คน ในการดำเนินธุรกิจกว่า 100 ประเทศ สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟิลิปส์ได้ที่ www.philips.com/newscenter
[1] https://www.jacc.org/doi/10.1016/j.jacc.2022.04.042
[2] https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK562154/
[3] https://hbr.org/2022/05/the-telehealth-era-is-just-beginning
[4] Philips
Pregnancy+ user survey, 2022
[5] Philips
Pregnancy+ parents survey conducted by InSights Consulting, November 2022
[6] https://noharm-global.org/documents/health-care-climate-footprint-report
[8] https://www.nature.com/articles/s43588-024-00712-6
[9] https://noharm-global.org/documents/health-care-climate-footprint-report
[11] https://www.who.int/news/item/02-11-2023-climate-change-and-noncommunicable-diseases-connections