อำไพ จิตรแจ่มใส
รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) เป็นประธานเปิดการสัมมนาเพื่อเผยแพร่ผลการศึกษาโครงการสู่การพัฒนาการวิเคราะห์ภูมิภาคอาเซียน
การพัฒนาแบบจำลอง MODEST เพื่อวัดผลกระทบของดิจิทัลต่อความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
ตลอดจนผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และนักวิชาการ กว่า 200 คน เข้าร่วม
ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ กรุงเทพฯ
อำไพ จิตรแจ่มใส รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า BDE ได้เปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจดิจิทัล ปี 2567 ขยายตัว 5.7% คิดเป็น 2.2 เท่า ของ GDP โดยรวม มูลค่ารวม 4.44 ล้านบาท สะท้อนเศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) ได้เห็นถึงความสำคัญ จึงได้ริเริ่มโครงการพัฒนาแบบจำลอง MODEST เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการวางแผนเชิงนโยบายที่มีเป้าหมายในการวิเคราะห์ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลต่อเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล โดยแบบจำลองนี้ ออกแบบมาเพื่อช่วยผู้กำหนดนโยบายในการพิจารณาแนวทางการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลที่เหมาะสม มีความมุ่งหวังว่า แบบจำลอง MODEST จะเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับประเทศไทยและประเทศสมาชิกอาเซียนในการประเมินผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล และเพื่อพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สอดคล้องกับเป้าหมาย อาทิ การเสริมสร้างการเข้าถึงดิจิทัล การส่งเสริมบริการดิจิทัล และการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นต้น
สำหรับโครงการดังกล่าว ได้มีการพัฒนาฐานข้อมูลที่ครอบคลุมสำหรับรองรับการดำเนินงานของแบบจำลอง โดย “MODEST Model” เป็นแบบจำลองระดับมหภาค ข้อมูลหลักที่ใช้ประกอบด้วย ตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตดิจิทัลจากสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) บัญชีรายได้ประชาชาติจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDC) และข้อมูลรายได้จากภาษีจากกรมสรรพากร กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต สำหรับ “Micro-MODEST Model” ซึ่งเป็นแบบจำลองระดับจุลภาค ใช้ข้อมูลจาก Thailand Digital Outlook การสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคม การสำรวจแรงงาน และสำมะโนอุตสาหกรรมและธุรกิจ รวมถึงข้อมูลจากแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล ด้วยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนและการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง แบบจำลองนี้ จะสามารถรองรับการวิเคราะห์ผลกระทบเชิงนโยบายในมิติที่หลากหลาย ทั้งในด้านการค้าเสรี การไหลเวียนทางดิจิทัล และปัจจัยเชิงภูมิภาคอื่นๆ ได้อีกด้วย
สำหรับเครื่องมือเพื่อใช้ในการประเมินผลกระทบของนโยบายดิจิทัลดังกล่าว ได้แก่ แบบจำลอง Ministry of Digital Economy and Society of Thailand (MODEST) และแบบจำลอง Micro-MODEST ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากนโยบายดิจิทัล ควบคู่ไปกับการแสดงภาพการเปลี่ยนแปลงของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำด้านดิจิทัล BDE ได้เปิดเผยผลการศึกษาเชิงเทคนิคในการทดลองประเมินผลลัพธ์ของนโยบายด้านดิจิทัลผ่านฉากทัศน์ 3 รูปแบบ ประกอบด้วย
ฉากทัศน์ 1
การเพิ่มการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลของครัวเรือน จำนวน 1.2
ล้านครัวเรือนในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ที่ขาดแคลนอุปกรณ์ดิจิทัลและการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน
เพื่อให้มีอุปกรณ์และการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตจนสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลได้
ฉากทัศน์ 2 การเพิ่มทักษะดิจิทัลของแรงงาน จำนวน 6.97 ล้านคนในกลุ่มครัวเรือนในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยเพื่อให้สามารถนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ประโยชน์ในการทำงานที่ตนเองทำอยู่
ฉากทัศน์ 3
การเพิ่มการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัล เพื่อให้เกิดการเติบโตของมูลค่าอุตสาหกรรมที่ร้อยละ 12
ตามเป้าหมายของนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
(พ.ศ. 2561-2580) ฉบับปรับปรุง
โดยเมื่อพิจารณาจากผลการวิเคราะห์แบบจำลองในฉากทัศน์ 3 พบว่า หากมีการลงทุนในภาคเศรษฐกิจดิจิทัลที่ทำให้มูลค่าอุตสาหกรรมดิจิทัลของไทยเติบโต ร้อยละ 12 โดยที่การเข้าถึงเทคโนโลยีและทักษะดิจิทัลของประชากรยังคงอยู่ในระดับเดิม ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจจะทวีความรุนแรงขึ้น อันเป็นผลมาจากการที่รายได้ของกลุ่มผู้มีรายได้สูงเติบโตรวดเร็วกว่ากลุ่มผู้มีรายได้น้อย ถึงแม้ว่าจะช่วยให้ GDP ของประเทศเติบโตได้ ร้อยละ 5.44 ก็ตาม
ทั้งนี้ ผลการวิเคราะห์แบบจำลอง ในฉากทัศน์
1 และ 2 ชี้ให้เห็นว่า
การขยายการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลและการพัฒนาทักษะดิจิทัลอย่างทั่วถึง
สามารถลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ พร้อมกับเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจได้
ถึงแม้ว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในฉากทัศน์ทั้งสองอาจไม่สูงมากนัก (GDP เติบโตร้อยละ
0.26 และ 0.22 ตามลำดับ) แต่ในความเป็นจริง สถานการณ์ภายใต้ฉากทัศน์ทั้งสอง มีโอกาสที่จะสร้างการเติบโตได้มากขึ้น
เพราะทั้งการขยายการเข้าถึงเทคโนโลยีและการพัฒนาทักษะดิจิทัล
สามารถเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจโลกได้