บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการไตรมาส 4/2567 สร้างกำไรต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิหลังหักภาษีและหลังปรับปรุงรายการพิเศษ (Normalized Net Profit After Tax) ที่ 3.6 พันล้านบาท โดย EBITDA เติบโตเพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่ 8 ติดต่อกัน โดยมีปัจจัยหลักจากการลดลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน จากการมุ่งเน้นผลการดำเนินงานและวินัยทางการเงิน ตลอดจนการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม (Synergy) รายได้จากการให้บริการและ EBITDA สูงกว่าแนวโน้มที่ตั้งไว้สำหรับปี 2567
มนัสส์
มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า
"ปี 2567 แม้เป็นปีที่มีความท้าทายทางเศรษฐกิจ แต่ ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงเดินหน้าพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ
ส่งผลให้สามารถสร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่อง และ EBITDA เติบโตเป็นไตรมาสที่
8 ติดต่อกัน ซึ่งความสำเร็จมาจากการขับเคลื่อนด้วยปัจจัยสำคัญ
3 ประการ คือ ประการแรก การเร่งดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย โดยปรับปรุงเครือข่ายแล้วเสร็จมากกว่า
77% ซึ่งเร็วกว่าแผนงาน และเมื่อเราบรรลุเป้าหมาย 100%
กลางปี 2568 ที่จะถึงนี้ จะทำให้โครงการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยที่รวมเครือข่ายระดับประเทศสองเครือข่ายเป็นหนึ่งเดียว
สามารถสร้างประวัติศาสตร์แห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่ทั้งลูกค้าทรูมูฟ เอช
และดีแทคได้สัมผัสประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นอย่างชัดเจน ประการที่สอง การเสริมความแข็งแกร่งด้วยพันธมิตรระดับโลกเพื่อยกระดับขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี
และประการที่สาม การนำประโยชน์จาก AI และการวิเคราะห์ล้ำสมัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายและขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัล
ขณะที่เราอยู่ท่ามกลางความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและการเติบโต
เรายังคงมุ่งมั่นที่จะส่งมอบคุณค่าที่มากขึ้นให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
พร้อมกับเสริมสร้างความแข็งแกร่งในฐานะบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำของประเทศไทย
ซึ่งนอกจากความสำเร็จด้านธุรกิจแล้ว เรายังภูมิใจที่ได้รับการยกย่องให้เป็นองค์กรที่ยั่งยืนที่สุดในกลุ่มโทรคมนาคมระดับโลก
โดยเป็นอันดับที่ 1
ในดัชนีความยั่งยืน Dow Jones Sustainability Indices (DJSI)
ประจำปี 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7"
ชารัด
เมห์โรทรา รองประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
"เรามั่นใจว่าในปี 2568 จะส่งมอบเครือข่ายที่ดีที่สุดครั้งประวัติศาสตร์ของเรา
พร้อมคุณภาพบริการที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ นอกจากนี้
เรากำลังยกระดับการบริการลูกค้าด้วยการนำ AI เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ
ทั้งการแนะนำบริการที่เหมาะกับลูกค้าแต่ละราย การให้ความช่วยเหลือทันทีโดย ‘มะลิ’ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเสมือน
และการสนับสนุนพนักงานขายและคอลเซ็นเตอร์ด้วย AI co-pilots ในปี
2568
เรามีเป้าหมายเพิ่มผู้ใช้บริการดิจิทัลจากหนึ่งในสามเป็น 40%
และขยายฐานผู้ใช้ดิจิทัลเป็น 20 ล้านราย แอปพลิเคชันบริการหลังการขายที่ปรับปรุงใหม่ของเราจะช่วยให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบบิล
รับสิทธิประโยชน์ และรับบริการ AI ครบได้ในที่เดียว ทั้งนี้ ปี
2568 จะเป็นปีที่สร้างกำไร
พร้อมส่งมอบความประทับใจให้ลูกค้าผ่านความสำเร็จของทรู"
ในไตรมาส 4/2567 จำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่กลับมาเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
โดยเพิ่มขึ้น 116,000 เลขหมาย หรือ 0.2%
จากไตรมาสที่ผ่านมา มีจำนวน 49.4 ล้านเลขหมาย ซึ่งเป็นตัวเลขภายหลังจากการลดลงของผู้ใช้บริการ
133,000 เลขหมายจากความร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการฉ้อโกง
ผู้ใช้บริการระบบรายเดือนคงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่ 15.2 ล้านเลขหมาย ในขณะที่ผู้ใช้บริการระบบเติมเงินมีจำนวน 34.2 ล้านเลขหมาย ผู้ใช้บริการออนไลน์เพิ่มขึ้น 0.5%
เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน อยู่ที่ 3.7 ล้านราย ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2567 ผู้ใช้บริการ 5G มีจำนวน
13.8 ล้านเลขหมาย
นกุล เซห์กัล
หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ปี 2567
เป็นปีที่สำคัญสำหรับทรู คอร์ปอเรชั่น ด้วยการพลิกกลับมามีกำไรภายหลังการปรับปรุงตั้งแต่ไตรมาสแรกอย่างเกินความคาดหมาย
ซึ่งการขับเคลื่อนต่อเนื่องนับตั้งแต่การควบรวมกิจการ ทำให้ EBITDA เติบโตติดต่อกัน
8 ไตรมาส
พร้อมกำไรที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกไตรมาส สำหรับในปี 2567 ทรู คอร์ปอเรชั่นมีกำไรภายหลังการปรับปรุง 9.9
พันล้านบาท โดยมาจากไตรมาส 4/2567 จำนวน 3.6
พันล้านบาท”
รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย
หรือ IC ปรับตัวดีขึ้น 2.3%
เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4
ปีที่ผ่านมา (YoY)
โดยรายได้จากการให้บริการทั้งปี 2567 เติบโต 4.6%
สูงกว่าแนวโน้ม การปรับตัวดีขึ้นของรายได้จากการให้บริการมาจากการเติบโตของรายได้ในทุกกลุ่มธุรกิจ
และการปรับสมดุลการแข่งขันด้านราคาอย่างต่อเนื่องในกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และออนไลน์
ทรู คอร์ปอเรชั่นรายงานรายได้รวมเติบโต 0.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน
โดยรายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ
(ARPU) ในทุกกลุ่มธุรกิจ แต่ถูกลดทอนบางส่วนจากรายได้การขายผลิตภัณฑ์ที่ลดลง
เนื่องจากการปรับลดเงินสนับสนุนค่าเครื่องโทรศัพท์
สำหรับไตรมาส
4/2567 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (ไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย
หรือ D&A) ลดลง 7.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน
จากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมและวินัยทางการเงินอย่างต่อเนื่อง
ต้นทุนเครือข่ายลดลง 0.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน
โดยมีปัจจัยหลักจากการประหยัดต้นทุนจากการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยและการจัดซื้อจัดจ้าง
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ลดลง 22.3%
เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับผลประโยชน์จากการควบรวมในหลายด้าน
โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างองค์กรให้ทันสมัย การริเริ่มกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ ๆ
และประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ด้วยการบูรณาการกรอบการดำเนินงานที่มุ่งเน้นความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืน
ทรู
คอร์ปอเรชั่นสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
ทรู
คอร์ปอเรชั่นบันทึกการเพิ่มขึ้นของ EBITDA จำนวน 5.8
พันล้านบาท นับตั้งแต่การควบรวมกิจการ ซึ่งนับเป็นการเติบโตของ EBITDA เป็นไตรมาสที่
8 ติดต่อกัน สำหรับไตรมาสที่ 4/2567 EBITDA เพิ่มขึ้น 12.0%
เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 1.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยภาพรวมปี 2567
EBITDA เพิ่มขึ้น 14.5% สูงกว่าแนวโน้ม
โดยการเติบโตของ EBITDA มาจากการปรับตัวดีขึ้นของรายได้
ผลประโยชน์จากการควบรวม และวินัยทางการเงิน อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่การควบรวมกิจการที่
60.6% ในไตรมาส 4/2567
ในไตรมาส 4/2567
ทรู คอร์ปอเรชั่นบันทึกผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (one-time costs) จำนวน 1.11 หมื่นล้านบาท
ส่งผลให้มีผลขาดทุนสุทธิหลังหักภาษี 7.5
พันล้านบาท
รายการพิเศษที่ไม่ใช่เงินสดเกี่ยวข้องกับการด้อยค่าสินทรัพย์จากการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยและสินค้าคงเหลือ
การด้อยค่าประจำปีของค่าความนิยมและเงินลงทุน และผลขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม
ทรู คอร์ปอเรชั่นยังได้ตั้งสำรองค่าใช้จ่ายเป็นเงินสดสำหรับค่าชดเชยที่ต้องจ่ายหน่วยงานท้องถิ่นในปี
2568 เมื่อปรับปรุงรายการพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียวเหล่านี้
กำไรสุทธิหลังหักภาษีอยู่ที่ 3.6
พันล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 451 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน
โดยมีปัจจัยหลักจากการปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA และการลดลงของต้นทุนทางการเงิน
ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) สำหรับไตรมาส 4/2567
อยู่ที่ 1.14
หมื่นล้านบาท โดยส่วนใหญ่จากการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย
สำหรับแนวโน้มปี 2568 บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) และโรมมิ่งภายในประเทศกับ NT เติบโต 2-3% เมื่อเทียบกับปีก่อน EBITDA จะเติบโต 8-10% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) รวมการบูรณาการคาดว่าจะอยู่ที่ 2.8-3 หมื่นล้านบาท โดยปี 2568 ทรู คอร์ปอเรชั่น คาดว่าจะมีกำไรสุทธิหลังหักภาษี ตามรายงานและได้พิจารณาความเป็นไปได้ในการจ่ายเงินปันผลมากกว่า 50% ของกำไรสุทธิ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการอนุมัติของคณะกรรมการ
ตัวเลขทางการเงินที่สำคัญสำหรับปี
2567 และไตรมาส 4/2567
·
รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย
หรือ IC:
§
16.59 หมื่นล้านบาท สำหรับปี 2567
ปรับตัวดีขึ้น 4.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน
§
4.16 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 4/2567
ปรับตัวดีขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 0.2%
เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
·
EBITDA:
§
9.81 หมื่นล้านบาท สำหรับปี 2567
ปรับตัวดีขึ้น 14.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน
§
2.52 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 4/2567
เพิ่มขึ้น 12.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 1.0%
เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
·
อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการ:
§
59.2% สำหรับปี 2567
§
60.6% ในไตรมาส 4/2567
·
กำไรสุทธิ (ภายหลังการปรับปรุง):
§
9.9 พันล้านบาท ในปี 2567
ปรับตัวดีขึ้น 14.7 พันล้านบาทเมื่อเทียบกับปีก่อน
§
3.6 พันล้านบาทในไตรมาส 4/2567
ปรับตัวดีขึ้น 0.5 พันล้านบาทเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
เกี่ยวกับบริษัท
บริษัท ทรู
คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำของประเทศไทย มุ่งมั่นเสริมสร้างศักยภาพเพื่อทุกคนและธุรกิจด้วยโซลูชันการเชื่อมต่อที่ช่วยพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน
บริการด้านเสียงและดาต้าชั้นนำระดับโลกของทรู
เปิดประตูสู่ระบบนิเวศด้านไลฟ์สไตล์อย่างครบวงจร ตั้งแต่ความบันเทิงระดับโลก
สิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับสมาชิก ไปจนถึงการเชื่อมต่ออย่างไร้รอยต่อ
ด้วยนวัตกรรมที่ผสานพลังของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทรูมีส่วนสำคัญในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
ยกระดับสุขภาพ และเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับสังคม