ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบัน อินเทอร์เน็ตมีความสำคัญต่อชีวิตคนเรามาก และสมาร์ทโฟน ก็ถือว่าเป็นอวัยวะหนึ่งของร่างกายคนเราไปแล้ว ซึ่งการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต จำเป็นที่จะต้องใช้เครือข่ายมือถือ (Mobile Networks) และ Wi-Fi ซึ่งทั้งคู่ เราใช้งานทั้งสองอย่างร่วมกัน ควบคู่กันมาในตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ตั้งแต่การใช้อินเทอร์เน็ต GPRS, EDGE, 2G, 3G, 4G เราใช้ Wi-Fi ด้วย เพราะก่อนหน้านี้ Wi-Fi เร็วกว่า เสถียรกว่าเน็ตมือถือ แต่ปัจจุบัน กำลังจะถึงยุค 5G ความเร็วที่ได้ในตอนนี้ ถือว่าเร็วมากๆ แล้ว ถามว่า Wi-Fi ยังจำเป็นต้องใช้หรือเปล่า ดังนั้นจึงมีการตั้งคำถามว่า 5G vs Wi-Fi เรายังต้องการทั้งคู่ใช่หรือไม่
ความแตกต่างระหว่าง 5G และ WI-FI คืออะไร?
5G เป็น Generation ที่ 5 ของการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สาย อย่างที่เราทราบกันดีว่า Cellular หรือ Mobile Networks นั้นจำเป็นที่จะต้องใช้คลื่นความถี่ ไม่ว่าจะมาจากการประมูล หรือสัมปทานก็ตามแต่ จะต้องมีการจัดสรรคลื่นความถี่ ผู้ให้บริการอย่าง Verizon หรือ AT&T จะต้องจ่ายค่าคลื่นที่ใช้งาน และขยายเครือข่ายให้ครอบคลุม และตั้งสถานีฐาน ที่มีจำนวนมากพอในการส่งสัญญาณไปยังเครื่องรับ ส่งสัญญาณไกลไปถึงผู้ที่ใช้งานที่อยู่ห่างไกลได้ ซึ่งจะต้องมีการลงทุน โดยเงินลงทุนก็มาจากผู้ใช้บริการในแต่ละเดือน
ในขณะที่ Wi-Fi นั้นเป็นคลื่นแบบ Unlicensed หมายถึงคลื่นฟรี ไม่ต้องมีการซื้อ แต่ก็จะต้องมีการจัดสรรช่วงกว้างของคลื่นไม่ให้ชนกับคลื่นอื่นๆ ใกล้เคียง สัญญาณ Wi-Fi จะไม่ครอบคลุมพื้นที่มากนัก จำเป็นที่จะต้องวางเร้าเตอร์ให้ครอบคลุมพื้นที่ โดยผู้ให้บริการ หรือ ISP ให้บริการโดยมีเร้าเตอร์กระจายทุกบ้าน เพื่อทำให้บ้านมี Wi-Fi แต่ครั้นการมี Wi-Fi ทุกบ้าน ก็ต้องมีการจัดสรรคลื่นไม่ให้ชนกันกับ Wi-Fi บ้านข้างๆ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีผู้อยู่อาศัยหนาแน่น โดย Wi-Fi มีการใช้งาน 2 คลื่นความถี่คือ 2.4GHz และ 5GHz ซึ่งจุดเด่นของ 2.4GHz แม้จะมีความเร็วที่ต่ำกว่า แต่ก็กระจายสัญญาณได้ไกลกว่า 5GHz
การพูดถึง Wi-Fi 5GHz นี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับ 5G เลย เพียงแต่การเขียนจะต้องเขียนหน่วยกำกับให้ชัดเจน ไม่ใช่เขียน Wi-Fi 5G ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้
ในชีวิตประจำวัน เรายังต้องการทั้ง Wi-Fi ที่บ้านและสำนักงาน หรือแม้แต่ร้านกาแฟ มี Wi-Fi ฟรี เราก็เลือกใช้ Wi-Fi มากกว่าที่จะเปลืองเน็ตมือถือเราใช่ไหมครับ? พอก้าวขาออกจากบ้าน ไม่มี Wi-Fi ใช้ เราถึงจะใช้เน็ตมือถือ ส่วนสมาร์ทโฟนของเรา สลับเครือข่ายให้โดยอัตโนมัติ แต่บางครั้ง สมาร์ทโฟนก็ยังจับสัญญาณ Wi-Fi เราจึงต้องปิด Wi-Fi เมื่อออกนอกบ้าน แล้วพอเข้าร้านกาแฟ หรือไปออฟฟิศ ค่อยเปิด Wi-FI ถ้ามองตามความเป็นจริงแล้ว เราต้องการเน็ตดีๆ เสถียร ตลอดเวลา ต่างหากล่ะ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เราจะใช้ 5G กัน แต่ Wi-Fi ก็ยังจำเป็น และขาดกันไม่ได้ เมื่อมีทั้ง 5G และ Wi-Fi ก็จะมีเน็ตแรงๆ เร็วๆ ให้เราใช้
สิ่งที่เราคาดหวังจาก 5G
เราทราบกันดีว่า เทคโนโลยี 5G รองรับการดาวน์โหลด 1Gbps ถึง 10Gbps และการอัพโหลด ที่มีค่า latency แค่ 1 ms ทำให้ผู้คนตื่นเต้นกับ 5G แต่เรายังไม่ได้ใช้งานจริงๆ แต่เอาจริงๆ ในชีวิตประจำวัน เราอาจจะไม่ได้ต้องการความเร็วสูงสุดตลอดเวลา เช่น คุย LINE ดู YouTube, Netflix เราอาจะต้องการเฉพาะตอนที่ดาวนโหลด อัพโหลด ซึ่งเงื่อนไขของสภาพแวดล้อมในการใช้งาน 5G นั้นมีผลต่อการใช้งาน ทั้งสถานที่ใช้งาน จำนวนการเชื่อมต่อ ณ ขณะนั้น และอุปกรณ์ที่เราใช้งาน
สิ่งที่ผู้ใช้ทั่วๆไป อยากได้ก็คือ ความเร็วดาวน์โหลด ขั้นต่ำ 50Mbps และค่า latency 10ms ซึ่งเป็นความเร็วที่ผู้ใช้ 4G พึงพอใจ ส่วนการขยายเครือข่าย 5G อาจต้องใช้เวลาสักระยะ เราอาจจะใช้ทั้ง 4G 5G และ Wi-Fi ร่วมกัน ซึ่งในช่วงแรกๆ จำนวนผู้ใช้ 4G LTE ยังเยอะอยู่ เรายังคงใช้ 4G และ Wi-Fi ไปก่อน จนกว่าอุปกรณ์ที่รองรับ 5G และสัญญาณ 5G จะครอบคลุมทุกพื้นที่ ซึ่งต้องรอเวลาอีกพอสมควร
สิ่งที่เราคาดหวังจาก Wi-Fi 6
Wi-Fi นั้นมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา ถ้าใครใช้เน็ตตั้งแต่สมัยโมเด็ม น่าจะผ่านมาตรฐาน 802.11b จนถึง 802.11a, 802.11g, 802.11n และ 802.11ac มาแล้ว
ล่าสุด Wi-Fi Alliance ได้เรียกชื่อ 802.11ax ใหม่ว่า Wi-Fi 6 ซึ่งถ้าเป็น 802.11ac ก็จะเรียกว่า Wi-Fi 5 เอาเป็นว่า Wi-Fi 6 เน้นเรื่องความเร็ว ที่เร็วกว่า Wi-Fi 5 ถึง 4 เท่า จากที่เล่ามา จะเห็นได้ว่า ไม่ใช่แค่ 5G ที่เจ๋ง แต่ Wi-Fi เองก็ต้องออกแบบเพื่อรองรับปริมาณการใช้งานที่หนาแน่นมากๆ ด้วยเช่นกัน และจากการพัฒนา Wi-Fi 6 ก็ไม่ได้มาแทน 5G แต่ใช้ควบคู่กัน หรือตอบความต้องการที่แตกต่างกัน
แล้วเราจะเลือก 5G หรือ WI-FI 6 ดีล่ะ?
ก่อนที่จะถามว่า เลือก 5G หรือ Wi-Fi 6 ดี เราจะต้องมองการใช้งานของเราก่อน เราอยากได้ความเร็วที่สูงขึ้น อันนี้แน่นอน 5G และ Wi-Fi 6 ทำได้ ถ้ามองอุปกรณ์ที่รองรับ 5G กับ Wi-Fi 6 ล่ะ ก็ต้องตามหาอยู่เหมือนกัน ของใหม่ทั้งคู่ ยังไม่มีอุปกรณ์รองรับให้เลือกนัก ดังนั้น รออุปกรณ์รองรับอย่างแพร่หลาย และรอการตั้งเสา และเร้าเตอร์ ให้ครอบคลุมทั้ง 5G และ Wi-Fi 6
นอกจากสมาร์ทโฟน ถ้าเป็นแล็บท็อป จะต้องมีชิป Wi-Fi ที่รองรับ Wi-Fi 6 ต้องมีเสาที่จับสัญญาณ Wi-Fi 6 ได้ด้วย ถ้าเป็นคอมพิวเตอร์นี่ดีหน่อย เพราะมี USB Wireless Adapter ให้ซื้อไปเสียบเพิ่มได้ ก็ลองหารุ่นที่้รองรับ Wi-Fi 6 อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณใช้โน๊ตบุ๊ค และคอมพิวเตอร์ ก็ยังจำเป็นจะต้องใช้ Wi-Fi อยู่ดี
ถ้าจะให้รอใช้งาน 5G และ Wi-Fi 6 ในปีนี้ ก็น่าจะเริ่มเห็นอุปกรณ์รองรับ แต่ราคาเปิดตัวก็ยังสูง (นึกถึงตอนบ้านเรามี 4G ราคามือถือ 4G ก็ยังเป็นเครื่องรุ่นท็อป) ส่วนใครอยากใช้ Wi-Fi 6 ก็ต้องสังเกตโลโก้ Wi-Fi 6 Certified บนอุปกรณ์ที่เราใช้งาน
เอาเป็นว่า ทั้ง 5G และ Wi-Fi 6 ยังจำเป็นทั้งคู่ ในชีวิตประจำวันเรา อาจจะยังใช้ 4G บางงานอาจจะใช้ 5G และบางงานใช้ Wi-Fi โดยเฉพาะการนอนดู Netflix ที่บ้าน
เรียบเรียงจาก