และขณะนี้ถือว่าเป็นยุคที่ธุรกิจใหญ่เหล่านี้ ที่เคยเป็นปลาใหญ่ จะต้องลุกขึ้นมาเร่งสปีดเป็นปลาเร็วเพื่อต่อสู้ในสงครามแห่งนวัตกรรมนี้ อย่างไรก็ตามธุรกิจรายใหญ่ยังมีข้อได้เปรียบคือกำลังคน เงินทุน และประสบการณ์ที่มีอย่างยาวนานในการทำธุรกิจ แต่อาวุธที่องค์กรเหล่านี้ยังขาดไม่ใช่เพียงแค่นวัตกรรมเท่านั้น แต่เป็นนวัตกรในองค์กรที่จะสร้างและผลักดันนวัตกรรมองค์กรให้เกิดขึ้นจริงต่างหาก
นายแพทย์ศุภชัย ปาจริยานนท์ ผู้ก่อตั้ง RISE สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร กล่าวถึง ทิศทางธุรกิจของ RISE ในปี 62 ว่า RISE ได้วางบทบาทตัวเองเป็น Regional Corporate Innovation Accelerator ผู้นำและผู้เชี่ยวชาญ ที่เข้ามาทำงานร่วมกับองค์กรต่าง ๆ เพื่อเร่งสปีดความเติบโตของนวัตกรองค์กร ผ่าน Corporate Innovation Accelerator Framework ที่ RISE ออกแบบมาโดยเฉพาะ และเครือข่ายทั่วโลกที่พร้อมสนับสนุนนวัตกรรมองค์กรให้ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้เพื่อช่วยยกระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เป็นศูนย์กลาง หรือ Hub ของการลงทุนและพัฒนาด้านนวัตกรรมองค์กรได้อย่างแท้จริง
ทั้งนี้ ธุรกิจหลักของ RISE ที่จะผลักดันนวัตกรรมองค์กร (Corporate Innovation) แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ประกอบด้วย
1. Accelerator – RISE ร่วมมือกับเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ ระดับ Fortune 500 และหน่วยงานภาครัฐ สร้างแรงบันดาลใจให้คนในองค์กรเข้าใจและเห็นถึงโอกาสที่เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทในองค์กรและทำให้องค์กรนั้นๆเติบโตเร็วขึ้น รวมถึงเรียนรู้ที่จะร่วมมือกับกลุ่มสตาร์ทอัพมากกว่า 1,000 แห่งในกว่า 20 ประเทศทั่วโลกที่มีเทคโนโลยีที่พร้อมใช้งานได้จริง เพื่อให้เกิดนวัตกรรมองค์กรใหม่ๆได้เร็วยิ่งขึ้น โครงการในส่วนของ Accelerator อาทิ เช่น Krungsri RISE, PTT D-NEXT, Startup Fast Track – Go Inter with DEPA และอื่นๆ
2. Mindset Transformation – RISE เชื่อว่าการที่คนในองค์กรนั้นจะสร้างนวัตกรรมองค์กรได้นั้น ต้องคิดและลงมือทำอย่างนวัตกร ดังนั้น RISE จึงสร้างเวิร์คชอปที่ให้คนในองค์กรและรัฐบาลเข้าร่วมและเรียนรู้เป็นนวัตกรผ่านประสบการณ์ทำจริง เพื่อสร้างนวัตกรรมองค์กรที่สามารถใช้ได้จริงและประสบความสำเร็จ โปรแกรมของเวิร์คชอป อาทิ เช่น Design Thinking ที่ได้หลักสูตรมาจาก D School, Stanford University, หรือ Data Science Master Class สอนโดย Ikhlag Sidhu, Chief Scientist and Founding Director ของ Sutardja Center, UC Berkeley ซึ่งปีที่ผ่านมามี Executives ที่ผ่านเวิร์คชอปต่างๆของ RISE มากกว่า 1,000 คน มากไปกว่านั้น ทุกไตรมาส RISE จะมี Immersive Trip ที่เชิญเหล่า Executives ไปเยี่ยมชมบริษัทที่เป็นผู้นำทางด้านนวัตกรรม เช่น Apple, Facebook, Google, และ Silicon Valley Bank ที่ Silicon Valley, San Francisco
3. Venture: RISE ทำหน้าที่เป็น Venture Builder ที่จะจับมือกับทางฝั่งองค์กรและฝั่งสตาร์พอัพ เพื่อสร้าง Venture โดนที่เราจะให้ความช่วยเหลือในทุกๆขั้นตอนว่า Venture ใหม่นี้จะประสบความสำเร็จและเกิด win-win situation สำหรับทุกฝ่าย ซึ่งปัจจุบัน RISE ได้ร่วมกับบริษัทเอกชนลงทุนสร้าง Joint Venture ไปแล้ว 2 แห่ง
4. Community: RISE มีพันธมิตรอยู่ทั่วโลกที่จะสนับสนุนซึ่งกันและกันในแง่ของความรู้ ทรัพยากรต่างๆที่เป็นประโยชน์ เพื่อการสร้าง Ecosystem ที่เหมาะสมกับการสร้างนวัตกรรมองค์กร ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่เป็น Accelerator หรือ Community ของกลุ่มนวัตกร เช่น Platform E, Seoul Startup Hub, Serendipia และอื่นๆ ซึ่งปัจจุบัน RISE ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับทั้งหน่วยงานภาครัฐ และมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก เช่น Saigon Innovation Hub, Enterprise Singapore, The Department for International Trade (DIT) ของสหราชอาณาจักร
และเพื่อเป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์และภารกิจของ RISE ที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะขับเคลื่อนให้ Gross Domestic Product ของประเทศไทย และ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตให้ได้อีก 1% จากการนำนวัตกรรมเข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่งและเร่งสปีดการเติบโตให้กับองค์กรต่างๆในยุคที่ปลาเร็วกินปลาช้า ในปี 2562 นี้ RISE จะจัดงาน Corporate Innovation Summit 2019 - Asia’s First Experiential Conference ระหว่างวันที่ 28 – 29 มีนาคม 2562 ณ โรงแรมเซ็นทารา คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ กรุงเทพฯ