ปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า “ด้วยความมุ่งมั่นของเอไอเอสที่เป็นผู้ริเริ่มพัฒนานวัตกรรมและนำเทคโนโลยีมายกระดับโครงสร้างพื้นฐานของภูมิภาคและประเทศมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งานทั่วทุกภูมิภาคและทุกเจเนอเรชัน ภายใต้วิสัยทัศน์ของการเป็น Digital Life Service Provider เราจึงไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาเทคโนโลยีแห่งอนาคตอยู่เสมอ นับตั้งแต่การนำนวัตกรรมเทคโนโลยีระดับโลกมาให้บริการ ทั้งเครือข่าย AIS NEXT G ที่เร็ว แรงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เครือข่าย AIS 4.5G และ AIS 4G ADVANCED ที่รองรับเทคโนโลยีขั้นสูง การันตีด้วยรางวัลเครือข่ายมือถือที่เร็วที่สุดในไทย 4 ปีซ้อนจาก Ookla® Speedtest® ตลอดจนการทดลอง ทดสอบ เทคโนโลยีสื่อสารไร้สายแห่งอนาคต 5G ที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยไปอีกขั้น โดยที่ผ่านมา เอไอเอส เป็นผู้นำรายแรกในการเปิดพื้นที่ให้นิสิต นักศึกษา นักวิจัย และประชาชนได้ร่วมศึกษา ทดลอง ทดสอบการใช้งาน 5G ในหลากหลายมิติมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในสถาบันการศึกษาชั้นนำทั่วทุกภูมิภาค พร้อมเปิดพื้นที่ AIS D.C. ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม เป็นพื้นที่จัดแสดงเทคโนโลยี 5G เพื่อให้ผู้สนใจและประชาชนทั่วไป ได้สัมผัสเทคโนโลยีล้ำสมัย ช่วยสร้างเสริมองค์ความรู้ ขยายขีดความสามารถ และผลักดันให้ทุกภาคส่วนใน Ecosystem เตรียมพร้อมรับมือกับเทคโนโลยีแห่งอนาคต ตลอดจนสามารถสร้างสรรรค์นวัตกรรมให้สอดคล้องกับภูมิภาค อันจะนำมาซึ่งการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ขณะเดียวกัน ก็ไม่ลืมที่จะให้ความสำคัญกับการสร้างภูมิคุ้มกันและปลูกจิตสำนึกให้คนไทยรู้จักใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างถูกวิธีผ่านโครงการ “อุ่นใจ Cyber” ที่มุ่งสร้างทักษะและการตระหนักรู้เกี่ยวกับ Digital ควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะการใช้ดิจิทัลอย่างรู้เท่าทัน และป้องกัน (Protector) ความเสี่ยงจากการใช้งานอินเทอร์เน็ต
โดยการลงพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ มีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว รวมถึงมีความพร้อมด้านบุคลากรในการพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรม เอไอเอสได้ให้ความสำคัญกับการนำ Digital Infrastructure เข้ามาเสริมแกร่งให้กับคนในพื้นที่ ภายใต้การพัฒนาเครือข่าย 3G และ 4G ให้ครอบคลุมแล้วกว่า 1,083 ตำบล ทั่วทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้, การขยายช่องทางจัดจำหน่ายให้ชาวใต้เข้าถึงได้อย่างสะดวก รวดเร็ว กว่า 4,000 จุด และการออกแบบแพ็กเกจและโปรโมชั่นมือถือ รวมถึงคัดสรรคอนเทนท์ความบันเทิงและสิทธิพิเศษที่สอดคล้องกับพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าในพื้นที่ภาคใต้ ส่งผลให้เรามีส่วนแบ่งทางการตลาดในพื้นที่ภาคใต้เป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวนลูกค้า 5.7 ล้านเลขหมาย คิดเป็นสัดส่วน 14% ของฐานลูกค้าทั่วประเทศ
ล่าสุด เพื่อบ่มเพาะและสร้างความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัลให้กับบุคลากรไปด้วยกัน เราจึงประสานความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ทดลอง ทดสอบ ศักยภาพของเทคโนโลยี 5G ในสภาพแวดล้อมจริง บนคลื่นความถี่ 28 GHz ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการทดสอบ 5G ในภาคใต้ ภายใต้การสนับสนุนของ กสทช. โดยดึงจุดเด่นของอัตลักษณ์ทางภูมิศาสตร์ โอกาส ความสนใจ และบริบททางสังคมของภาคใต้เป็นตัวกำหนด ภายใต้แนวคิด “Smart City, Smart Living” ระบบต้นแบบเมืองอัจฉริยะ ผ่านการสาธิตการควบคุมรถไร้คนขับแบบข้ามภูมิภาค จากกรุงเทพฯ ถึง จังหวัดสงขลา ในรูปแบบไลฟ์บรอดแคสต์ เป็นครั้งแรกของไทย โดย ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมสาธิตระบบการสื่อสารระหว่างรถต่อรถ ผ่าน 5G ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ศึกษาประสิทธิภาพของ 5G ในทุกมิติสำคัญ
ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิวัติ แก้วประดับ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยสถาบันวิจัยและนวัตกรรมดิจิทัล สำนักวิจัยและพัฒนา ดำเนินโครงการ การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล ในเรื่อง IoT, Big Data, และระบบปัญญาประดิษฐ์ ภายใต้ชื่อ Smart City Model in Campus ที่ได้รับการอนุมัติและสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล เพื่อจัดทำระบบต้นแบบเมืองอัจฉริยะที่ใช้นวัตกรรมของมหาวิทยาลัย ณ วิทยาเขตหาดใหญ่ ซึ่งเป็นการพัฒนาและปรับตัวเองให้เข้ากับยุค Digital disruption อาทิ ใช้ระบบ Smart street light ในการใช้ระบบไฟส่องสว่างบนถนน, ติดตั้งระบบสื่อสารข้อมูลดิจิทัลผ่านเครือข่ายคลาวด์และป้ายสื่อสารแบบดิจิทัล, พัฒนารถ EV เป็นต้นแบบของยานยนต์ไร้คนขับและการควบคุมจากระยะไกล ผ่านรูปแบบของ V2X รวมถึงถ่ายทอดความรู้ทางด้านดิจิทัล และ Digital transformation ให้กับนักศึกษา ครู อาจารย์ ประชาชน และภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยสถาบันวิจัยและนวัตกรรมดิจิทัล เราทำงานวิจัยและพัฒนาอย่างใกล้ชิดกับ ภาคเอกชนทางด้านโทรคมนาคม บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เพื่อร่วมกันศึกษา ทดลอง ทดสอบ เทคโนโลยี 5G ในมิติต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ผ่าน Use Case ที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรม และ Use Case ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของประชาชน ทั้งนี้ ผมเชื่อว่า สิ่งเหล่านี้จะเป็น Cross cutting technology platform ที่สำคัญในการสนับสนุนการขับเคลื่อน Bioeconomy Circular economy และ Green economy หรือ BCG Model รวมถึงการพัฒนาโจทย์เชิงพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน"
โดยมี 5G Use Case ที่น่าสนใจ ดังนี้
1. 5G Remote Control Vehicle (การบังคับรถไร้คนขับข้ามภูมิภาค) : การแสดงศักยภาพที่สำคัญของเครือข่าย 5G เช่น ความเร็วในการรับส่งสัญญาณ (Throughput) ความเร็วในการตอบสนอง (Latency) และความเสถียรของระบบ (Stability) ผ่านเทคโนโลยีการบังคับรถยนต์ไร้คนขับทางไกลข้ามภูมิภาคครั้งแรกของไทย ระหว่างกรุงเทพฯ – สงขลา ที่ผู้ควบคุมรถไม่จำเป็นต้องอยู่ในตัวรถ แต่สามารถบังคับรถให้เคลื่อนที่ไปยังพื้นที่ต่างๆ ตามต้องการ ผ่านการสั่งงานระยะไกลแบบเรียลไทม์ บนเครือข่าย 5G ซึ่งข้อมูลต่างๆ จะถูกส่งต่อผ่านระบบ Video Analytics และสามารถ Streaming Video ที่มีความละเอียดสูง ผ่านเครือข่าย 5G กลับมาหาผู้ควบคุมรถได้ทันที จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการนำไปประยุกต์ใช้ในหลายๆ ส่วนของสังคม เช่น การสัญจรโดยสาร, การขนส่งสินค้าในภาคอุตสาหกรรม และโลจิสติกส์
2. นวัตกรรม V2V (การสื่อสารระหว่างรถต่อรถ ผ่าน 5G) : การสาธิตนวัตกรรมการสื่อสารระหว่างรถต่อรถ (Vehicle to Vehicle) ผ่านเครือข่าย 5G ที่สามารถรับ-ส่งข้อมูลความเร็วสูง มีการตอบสนองที่รวดเร็วและมีความเสถียรของระบบสูง ทำให้รถยนต์ 2 คัน สามารถสื่อสารข้อมูลการขับขี่ ข้อมูลความปลอดภัย และข้อมูลการจราจรไปมาระหว่างกันเองได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย ซึ่งจะช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการจราจรในเส้นทาง
3. นวัตกรรม Mobile Surveillance / Object Detection (รถตรวจการณ์และรักษาความปลอดภัย) : นวัตกรรมรถตรวจการณ์และรักษาความปลอดภัย จาก Video Analytics และ AI ด้วยการนำข้อมูลวิดีโอจากกล้องวงจรปิดบนยานพาหนะ ส่งผ่านเครือข่าย 5G ไปยังห้องควบคุมกลาง ทำให้สามารถวิเคราะห์ภาพจำแนกวัตถุรอบคันรถ และตรวจจับลักษณะของรถ เช่น ป้ายทะเบียน, รุ่นของรถ, ยี่ห้อ, สีและลักษณะของรถ และการแจ้งเตือนความเสี่ยงในพื้นที่ต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์และแม่นยำ โดยหากเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องแจ้งข้อมูลรถต้องสงสัยเข้ามาในพื้นที่ ระบบก็จะสามารถแกะรอยและแจ้งเตือนทันทีที่รถคันดังกล่าวขับเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งจะช่วยให้การเฝ้าระวังพื้นที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ปรัธนา กล่าวว่า “นอกเหนือจากการทดลอง ทดสอบ เทคโนโลยี 5G บนสภาพแวดล้อมจริง เพื่อสร้างโมเดล Smart City ต้นแบบการพัฒนาเมืองเพื่อความปลอดภัยแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เอไอเอสให้ความสำคัญก็คือการสร้างความเชี่ยวชาญของทีมงานและบ่มเพาะบุคลากรด้านเทคโนโลยี ให้กลายเป็น Smart People ไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาผู้ประกอบการ, เกษตรกร นิสิต และนักศึกษา เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยที่ผ่านมา เราได้ร่วมมือกับฟาร์มสุข ในการพัฒนาดิจิทัล แพลตฟอร์ม iFarm ที่ผสานเทคโนโลยีและภูมิปัญญาท้องถิ่นปั้น Smart Farmer ด้วยแนวคิด “สอน-เสริม-สร้าง” เพื่อยกระดับเกษตรกรไทย, การสร้างนวัตกรรม AIS School Van Clever ช่วยให้ผู้ปกครองสามารถดูแลความปลอดภัยของบุตรหลานได้แบบเรียลไทม์ผ่านแอปพลิเคชัน นำร่องใช้งานแล้วในพื้นที่ภาคใต้เป็นที่แรก รวมถึงการเปิดให้บริการ AIS DigitALL Shop ช้อปดิจิทัลแห่งแรกของเมืองไทยที่พร้อมตอบโจทย์ความต้องการครบทุกฟังก์ชันและไลฟ์สไตล์ของคน Gen C ภายใต้ด้วยแนวคิด “The Unmanned Store” ช่วยให้ลูกค้าได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็ว และง่ายมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องรอคิว (No Queue) ไม่ต้องมีเคาน์เตอร์บริการ (No Counter Service) และไม่ต้องใช้เงินสด (No Cash) ให้บริการแล้วที่ชั้น 2 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ภูเก็ต”
“เพื่อเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นตั้งใจของเอไอเอสในการมอบบริการคุณภาพให้แก่พี่น้องชาวปักษ์ใต้ เอไอเอสจึงเปิดตัวแคมเปญล่าสุด “เอไอเอส ที่ 1 ตัวจริง เร็วแรงสุดทั่วภาคใต้” ที่ครั้งนี้ได้เลือก “เอกชัย ศรีวิชัย” นักร้องลูกทุ่งชื่อดังผู้เป็นความภาคภูมิใจของชาวใต้ เป็นตัวแทนในการสื่อสารความมุ่งมั่นของเอไอเอสได้อย่างเข้าถึงใจคนใต้อย่างแท้จริง โดยประเดิมจัดกิจกรรมทัวร์คอนเสิร์ตทั่วพื้นที่ภาคใต้ให้กับลูกค้าเอไอเอส ถึง 15 รอบการแสดงทั่วภาคใต้ โดยเฉพาะวันที่ 23 สิงหาคม จังหวัดสงขลา, 30 สิงหาคม จังหวัดตรัง, 31 สิงหาคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี และ 11 กันยายน จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้ลูกค้าเอไอเอสเข้าชมฟรีตลอดงาน”
ชาวปักษ์ใต้เตรียมพบกับความพิเศษจากแคมเปญ “เอไอเอส ที่ 1 ตัวจริง เร็วแรงสุดทั่วภาคใต้” ทั้งแพ็กเกจมือถือ สิทธิพิเศษ คอนเทนท์ความบันเทิง ที่คัดสรรมาเพื่อชาวใต้โดยเฉพาะ
“วันนี้ภาคใต้มีศักยภาพการเติบโตที่โดดเด่น และเป็นกำลังสำคัญที่จะผลักดันเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโต ด้วยทำเลที่ตั้งอันโดดเด่นและเหมาะสมที่จะเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนของภาคใต้ และยังเป็นประตูผ่านไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและสิงคโปร์ พร้อมได้รับการสนับสนุนจากนโยบายของรัฐบาลในการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษสงขลาเพื่อลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย จึงยังมีโอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกมหาศาลรออยู่ ดังนั้น การที่สงขลาได้รับการสนับสนุนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเสริมศักยภาพทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเป็นพื้นที่ทดลอง ทดสอบ เทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่าง 5G ทั้งหมดนี้ จะทำให้จังหวัดสงขลาและภาคใต้ เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดและแข็งแกร่งอย่างแน่นอน” ปรัธนา กล่าวทิ้งท้าย