การติดตั้งโครงข่าย 5G ในครั้งนี้เป็นการติดตั้งลึกถึงระดับโครงสร้างพื้นฐานทั้งระบบไร้สายและระบบเคเบิลทั้งประเทศ ซึ่งการชนะของผู้ติดตั้งโครงข่าย 5G ถือเป็นชัยชนะในขณะที่ Huawei Technologies ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมระดับโลก กำลังถูกขึ้นบัญชีดำทางการค้าในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา
สิ่งที่ Huawei Technologies ต้องจัดหาอุปกรณ์ MME / SGSN (ทำหน้าที่บริหารจัดการสัญญาณควบคุม เชื่อมต่อทั้งอุปกรณ์ชุมสายโทรศัพท์) ร้อยละ 49 จากทั้งหมด และ SAE-GW / GGSN (จะทำหน้าที่เป็นเกตเวย์ให้กับข้อมูลต่าง ๆ ในการรับส่งออกจากเครือข่าย) ร้อยละ 54 จากทั้งหมด (ที่เหลือเป็นหน้าที่ของ Ericsson และ ZTE) ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นอุปกรณ์หลักที่จำเป็นต่อการทำงานระบบโครงข่าย 5G ซึ่งต้องรับส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 5G
ถัดจากนั้น Ericsson ผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมรายใหญ่ของสวีเดน ต้องจัดหาอุปกรณ์ MME / SGSN ร้อยละ 34 จากทั้งหมด และ SAE-GW / GGSN ร้อยละ 34 จากทั้งหมด
นอกจากนั้น Nokia ผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมรายใหญ่ของฟินแลนด์ ต้องจัดหาอุปกรณ์ MME / SGSN ร้อยละ 12 จากทั้งหมด และ SAE-GW / GGSN ร้อยละ 9 จากทั้งหมด
ด้าน ZTE ผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมรายใหญ่ของจีน ต้องจัดหาอุปกรณ์ MME / SGSN ร้อยละ 5จากทั้งหมด และ SAE-GW / GGSN ร้อยละ 3 จากทั้งหมด
โดยทาง China Mobile ชี้แจงว่า เป็นการประกวดราคาที่มีความโปร่งใส่มาก และที่สำคัญมีการแข่งขันการประกวดราคาที่มีความรุนแรงสูง แต่ทางโครงข่ายไม่ลืมเรื่องของอุปกรณ์ภาพของอุปกรณ์ ซึ่งจะส่งผลกระทบระยะยาวต่อการให้บริการลูกค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญต้องศึกษาทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ทั้งในและต่างประเทศ
สิ่งที่น่าสังเกตคือ China Mobile, Unicom และ China Telecom เป็นบริษัทจีนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของฮ่องกง ได้กำลังให้พลังซื้ออุปกรณ์การติดตั้ง 5G เป็นจำนวนมาก และมามีแนวความคิดให้การใช้บริการผ่านเสาโทรคมนาคมต้นเดียวกัน ในหลายพื้นที่เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณการก่อสร้างและการจัดซื้อ สำหรับ Huawei Technologies แม้ว่าอยู่ในบัญชีดำในหลายประเทศโดยมีแกนนำคัดค้านการติดตั้งอุปกรณ์ 5G เพราะด้านความมั่นคงนำโดยประเทศสหรัฐอเมริกา ทาง Huawei Technologies ยังมีสัญญา 5G เชิงพาณิชย์ 46 สัญญาจาก 30 ประเทศ,อีริคสัน มีสัญญา 5G เชิงพาณิชย์ 21 สัญญา , โนเกีย มีสัญญา 5G เชิงพาณิชย์ 43 สัญญา
