โดยการลงทุนครั้งนี้เป็นการลงทุนในมูลค่าทั้งหมด 400 ล้านเหรียญดอลล่าสหรัฐ โดยร่วมกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook และ Google ซึ่งถือเป็นการลงทุนโครงข่ายขั้นพื้นฐานระยะยาวของบริษัท
โดยการลงทุนครั้งนี้ถือเป็นการลงทุนจากหลากหลายแหล่งของผู้ให้บริการ ท่ามกลางการเจริญเติบโตของอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงโดยเฉพาะยุค 5G ที่ต้องรองรับปริมาณเข้าออกให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งคาดการณ์ว่าปริมาณอินเทอร์เน็ตจะเติบโตขึ้น 2 เท่าในทุกๆ ปี
ซึ่งสามารถเปรียบเทียบได้จาก Google, Amazon, Facebook และ Microsoft ซึ่งใช้แบนด์วิดท์ระหว่างประเทศในสัดส่วน 54% นับตั้งแต่ปี 2018
Alan Mauldin นักวิเคราะห์จาก Telegeography กล่าวว่า การร่วมมือการวางระบบเคเบิลในครั้งนี้ ถือเป็นสิ่งที่ มีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น ส่วนใหญ่มุ่งขยายโครงข่ายไปที่กลุ่มประเทศเอเชียมากขึ้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นตลาดเกิดใหม่
โดยภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่เจริญเติบโตในการใช้งานอินเทอร์เน็ตมากที่สุด โดยเฉพาะการเสพสื่อจากท้องถิ่นเป็นหลัก มีศูนย์ข้อมูล co-location จะมีเพิ่มขึ้น 5 ปีข้างหน้า ซึ่งล้วนแล้วแต่ต้องการเซิฟเวอร์เป็น 2 เท่า
ซึ่งส่วนใหญ่รัฐบาลในท้องถิ่นภูมิภาคนี้ล้วนแล้วอนุญาตให้เชื่อมต่อโครงข่าย
นอกจากนี้ทาง NTT docomo ยังเตรียมเช่าโครงข่ายเคเบิ้ลใต้น้ำในหลายๆ แห่ง ในประเทศที่จะมีการเติมโตข้อมูลดาต้าอย่างก้าวกระโดด เพื่อให้ความจุแบนด์วิธมีปริมาณที่มากพอ
https://asia.nikkei.com/Business/Business-deals/NTT-undersea-cable-venture-to-handle-surging-net-traffic
https://english.nna.jp/articles/3106