ชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่า “ก่อนการเกิดโควิด การดำเนินงานของบริษัทฯ ยังสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของเรา โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยว ลูกค้าใหม่ และบริการข้ามแดนอัตโนมัติในต่างประเทศ นอกจากนี้ สัญญาณเริ่มต้นของเศรษฐกิจถดถอยกำลังส่งผลต่อการปรับตัวด้านพฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้าทุกกลุ่ม เราได้ดำเนินมาตรการหลายอย่างเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น รวมถึงการใช้โอกาสนี้ในการเร่งรัดการพัฒนาช่องทางดิจิทัลทดแทน และยังคงสร้างความแข็งแกร่งทางด้านโครงข่ายการใช้งานรวมทั้งการพัฒนา 5G อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ด้วยสถานการณ์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราจะพยายามปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อให้ดีแทคสามารถทำหน้าที่ช่วยเหลือลูกค้าทุกคนเชื่อมต่อสื่อสารกับสิ่งที่สำคัญที่สุด”
ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 1/63 ดีแทคมีฐานลูกค้าจำนวนทั้งสิ้น 19.6 ล้านราย ลดลง 1 ล้านรายในไตรมาสนี้ จากการลดลงของจำนวนลูกค้าในระบบเติมเงินเนื่องมาจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นและผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมทั้งการลดลงของจำนวนผู้ใช้บริการในระบบรายเดือนเนื่องมาจากการปรับปรุงวิธีการรายงานจำนวนผู้ใช้บริการในระบบรายเดือนในไตรมาสนี้ รายได้จากการให้บริการ (ไม่รวมค่าไอซี) ในไตรมาส 1/63 ลดลงร้อยละ 1.6 จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้จากค่าบริการหลักในไตรมาส 1/63 ลดลงร้อยละ 0.9 จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้ระบบรายเดือนและการเติบโตของรายได้จากกลุ่มลูกค้าองค์กร
EBITDA ปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 4.5 จากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในไตรมาส 4/62 และปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 4.5 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร กำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1/63 มีมูลค่าทั้งสิ้น 1.5 พันล้านบาท ปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับ EBITDA
ดิลิป ปาล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการเงิน กล่าวว่า “รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าไอซีตลอดจนรายได้จากการให้บริการหลัก (รายได้จากการให้บริการเสียงและข้อมูล) ยังคงเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 1/63 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของไตรมาสนี้ รายได้จากระบบเติมเงินลดลง จำนวนฐานลูกค้าใหม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทั้งระบบเติมเงินและรายเดือน รวมถึงรายได้จากระบบรายเดือนลดลง จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่งผลให้รายได้ในไตรมาส 1/63 ลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากปัจจัยความกดดันรายได้ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้เราต้องให้ความสำคัญมากขึ้นกับการบริหารจัดการเงินลงทุน (CAPEX) และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) อย่างสมเหตุสมผลในปีนี้”
แม้ในช่วงระยะเวลาอันใกล้จะมีความท้าทาย แต่เมื่อมองไปข้างหน้า ดีแทคมองเห็นโอกาส ซึ่งรวมถึงการกลับมาอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและแรงงานต่างด้าว การลดลงของการย้ายค่ายของลูกค้าเพื่อให้ได้มาซึ่งแพ็กเกจที่ดีขึ้นและการขายที่คุณภาพไม่ดี โอกาสในการบริหารจัดการเงินชดเชยค่าเครื่องโทรศัพท์ที่เหมาะสมมากขึ้น และการเพิ่มขึ้นของการใช้งานผ่านช่องทางบริการตนเองและช่องทางดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ด้วยความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบในระยะยาว ดีแทคมุ่งมั่นที่จะให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเงินสด ซึ่งรวมถึงการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและเงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม ดีแทคจะให้แนวโน้มใหม่สำหรับปี 2563 หลังจากที่สถานการณ์มีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้ ความมุ่งมั่นในระยะกลางที่เคยสื่อสารในวัน Capital Markets Day ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ตัวเลขสำคัญทางการเงินในไตรมาส 1/63 (หลังการนำมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 15 และ 16 มาถือปฏิบัติ)
มีรายได้จากการให้บริการ ไม่รวมค่า IC มูลค่า 15.3 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.6 จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
EBITDA อยู่ที่ 7.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 จากไตรมาสก่อนและไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
EBITDA margin (ปรับปรุง) อยู่ที่ร้อยละ 43.7
กำไรสุทธิ อยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกับ EBITDA