จากรายงานของเว็บไซต์ CosmeticsDesign-Asia.com[2] พบว่า โควิด-19 ส่งผลให้ตลาดเครื่องสําอางสําหรับการแต่งหน้าและน้ำหอมชะลอตัว เนื่องจากคนทํางานจากที่บ้านมากขึ้น และหลีกเลี่ยงการออกนอกบ้าน ขณะที่ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการดูแลผิวพรรณ และสุขอนามัยส่วนบุคคลมีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มขึ้น
สำหรับอุตสาหกรรมความงาม เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลร่างกายนั้น ปัจจุบันการป้องกันสุขภาพและสุขอนามัยได้รับความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เนื่องจากผู้บริโภคตระหนักและรับรู้เรื่องของการป้องกันสุขภาพ และความปลอดภัยเพิ่มขึ้น พฤติกรรมและทัศนคติของผู้บริโภคที่มีต่อความงามจึงเปลี่ยนเป็นการมุ่งเน้นที่ “สุขภาพและสุขอนามัย” มากกว่า และเทรนด์นี้ีมีแนวโน้มต่อเนื่องในระยะยาว
ในขณะเดียวกัน ผู้คนมีเวลาให้กับตัวเองหรือให้ความสําคัญกับการดูแลตัวเอง (me-time) มากขึ้นกว่าแต่ก่อน เนื่องจากมาตรการล็อคดาวน์ประเทศและการรักษาระยะห่างทางกายภาพในสังคม
นี่คือโอกาสครั้งสำคัญสําหรับผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ด้านความงาม เครื่องสําอาง หรือผลิตภัณฑ์ดูแลรักษาผิวพรรณที่จะได้นําเสนอสินค้าที่มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียหรือรักษาความชุ่มชื้น หรือแม้กระทั่งชุดดูแลผิวด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการบํารุงผิวหน้า ผิวกาย ผม เล็บ ฯลฯ เพื่อให้ผู้บริโภคหันมาสร้างบรรยากาศในการดูแลตัวเองอย่างผ่อนคลายเหมือนทําสปาที่บ้าน
“เราเห็นสัญญาณมากมายในอุตสาหกรรมความงาม เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายที่ยังมีโอกาสฟื้นตัวจากสถานการณ์วิกฤตในปัจจุบัน ผู้บริโภคทั่วโลกยังคงมองหาความพึงพอใจจากการดูแลตัวเอง หรือการทำทรีตเมนต์ขณะอยู่ที่บ้าน ความต้องการผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายยังคงมีแนวโน้มเติบโต ซึ่งเป็นโอกาสที่สำคัญของแบรนด์ในการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศอย่างแข็งขันและต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำธุรกิจกับประเทศที่กำลังฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาด เช่น จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา พม่า เวียดนาม เป็นต้น” เฮอร์เบิต วงศ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ประเทศไทย และหัวหน้าภาคพื้นอินโดจีน กล่าว
“ยังคาดเดาได้ยากว่าสถานการณ์โควิด-19 จะสิ้นสุดลงเมื่อไร แต่สำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้ต้องเตรียมความพร้อมสำหรับเศรษฐกิจที่กำลังจะกลับมา ผลการวิจัยจาก Kantar[3] เผยว่า การปรนนิบัติผิวหรือการบำบัดทางร่างกาย (Beauty Therapy) เป็นกิจกรรมอันดับหนึ่งที่ผู้บริโภคคิดจะทําหลังจากมาตรการล็อคดาวน์ของประเทศตนเองผ่อนคลายลง หรือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มดีขึ้น”
5 เคล็ดลับส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 การส่งสินค้าไปต่างประเทศอาจมีความล่าช้า ซึ่งโดยมากเกิดจากการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับพิธีการทางศุลกากรซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ในสถานการณ์เช่นนี้ รวมถึงปัญหาการเดินเอกสารเพื่อเคลียร์สินค้าในประเทศปลายทาง อย่างไรก็ตามคุณสามารถป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์เหล่านี้ได้ด้วย 5 เคล็ดลับที่ช่วยให้พิธีการศุลกากรเป็นเรื่องง่าย และส่งมอบสินค้าให้ลูกค้าของคุณได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีอุปสรรค ดังนี้
1. เตรียมตัวให้พร้อมก่อนรุก เข้าใจกฏระเบียบและข้อบังคับของตลาด โดยเฉพาะเมื่อเริ่มส่งสินค้าไปต่างประเทศเป็นครั้งแรก
ทำความเข้าใจกฎระเบียบและข้อบังคับของประเทศปลายทาง โดยเฉพาะเมื่อเริ่มส่งสินค้าไปขาย หรือส่งให้ผู้รับที่ต่างประเทศเป็นครั้งแรก มิฉะนั้น คุณอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด เกิดความล่าช้าในการจัดส่งสินค้าไปให้ลูกค้า หรือแม้แต่ต้องส่งสินค้ากลับไปประเทศต้นทาง
2. มองหาตัวช่วยจากหน่วยงานศุลกากรท้องถิ่น ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกส่วนใหญ่จะมีหน่วยงานรัฐบาลที่ให้คําแนะนําด้านศุลกากรฟรีสำหรับเอสเอ็มอี
เอสเอ็มอีเผชิญกับข้อกําหนดในการส่งออกสินค้าไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่ซับซ้อนมากขึ้น แม้ว่าสินค้าจะถูกส่งถึงประเทศปลายทางแล้ว แต่ต้องเป็นไปตามข้อกําหนดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย ผู้ประกอบการควรใช้โอกาสจากการได้รับคำปรึกษาฟรีจากหน่วยงานต่างๆเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ ซึ่งนอกจากจะเป็นการปฏิบัติตามกฎระเบียบแล้ว ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันกับคู่แข่งทางธุรกิจที่มีขนาดใหญ่กว่าด้วย
3. ใช้บริการลอจิสติกส์แบบครบวงจรที่เหมาะสำหรับผู้ส่งออกประเภท B2C
เมื่อเอสเอ็มอีส่งออกโดยตรงไปยังผู้บริโภคในประเทศต่างๆ มักจะนําโมเดลที่เรียกว่า "Duty and Tax Paid on Import" มาใช้ ซึ่งหมายความว่าผู้ประกอบการมีหน้าที่รับผิดชอบจัดการเกี่ยวกับการเดินพิธีศุลกากรในประเทศปลายทางทั้งหมดแทนที่จะให้ผู้ซื้อเป็นคนจัดการ อย่างไรก็ตาม นั่นหมายความว่าเอสเอ็มอีต้องสื่อสารกับตัวแทนต่างๆ มากมายเพื่อจัดการเกี่ยวกับภาษีอากร และขั้นตอนพิธีการทางศุลกากรอื่นๆ การทํางานกับผู้ให้บริการเดียวที่สามารถให้บริการแบบ door-to-door ตั้งแต่รับของจากผู้ส่ง ดําเนินการส่งของเข้าไปยังประเทศปลายทางและส่งของถึงมือผู้รับ จะช่วยลดความยุ่งยากในกรณีที่มีข้อติดขัด หรือความท้าทายอื่นๆที่เกิดขึ้น
4. ลองประยุกต์ใช้โมเดลการขายแบบ B2B: ขายผ่านช่องทางผู้จัดจำหน่ายในพื้นที่เพื่อช่วยเพิ่มจำนวนสินค้าส่งออก และส่วนแบ่งการตลาด
การจัดการด้านศุลกากรอาจจะดูเป็นเรื่องยุ่งยากสําหรับธุรกิจแบบ B2C ซึ่งคุณสามารถหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์นี้ได้ด้วยการส่งออกไปยังผู้จัดจําหน่ายในพื้นที่ โดยทั่วไปผู้จัดจําหน่ายมักจะมีประสบการณ์ตรง หรือมีคําแนะนําที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมหรือตลาดนั้นๆ และอาจอํานวยความสะดวกให้คุณได้มากกว่าหน่วยงานท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเอื้อให้เอสเอ็มอีได้ประโยชน์ตรงที่สามารถเร่งครื่องทําธุรกิจ และขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น บางครั้งการมีพาร์ทเนอร์ด้านการจัดจําหน่ายเพิ่มเข้ามาแล้วจะทําให้สัดส่วนกําไรของคุณลดลง แต่ก็แลกมาซึ่งความมั่นใจในการทําธุรกิจ ทําให้เอสเอ็มอีทำการส่งออกสินค้าได้เป็นจํานวนมาก และสามารถขยายส่วนแบ่งการตลาดในประเทศใหม่ๆได้อย่างราบรื่น
5. อย่ากลัวที่จะเติบโตอย่างยิ่งใหญ่
เมื่อเอสเอ็มอีสั่งสมความรู้และประสบการณ์ด้านการส่งออกเรื่องการเดินพิธีศุลกากรในแต่ละประเทศปลายทาง และกฏระเบียบการนำเข้าในแต่ละประเทศที่สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์หรือสินค้าของตนเองจนคล่องแล้ว มั่นใจได้ว่าเอสเอ็มอีจะสามารถขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ๆ ในประเทศใหม่ๆ ได้เร็วกว่าที่เคยเป็น การพัฒนาความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับสิ่งที่ศุลกากรต้องการก่อนทำการค้าขายกับลูกค้าปลายทาง และการทํางานกับลอจิสติกส์พาร์ทเนอร์อย่างใกล้ชิดเป็นโอกาสที่เอสเอ็มอีจะได้เติมเต็มประสบการณ์ด้านการส่งออก การนำความรู้และประสบการณ์มาปรับใช้เป็นการขยายโอกาสทางธุรกิจให้เติบโตทั้งในระดับภูมิภาค และระดับโลกได้อย่างรวดเร็ว และไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเอสเอ็มอีอีกต่อไป
ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส คือผู้นำด้านการขนส่งด่วนระหว่างประเทศ เราพร้อมที่จะช่วยขยายธุรกิจของคุณไปยังทั่วโลก เยี่ยมชม เว็บไซต์ เพื่อรับประสบการณ์การบริการขนส่งด่วนระหว่างประเทศที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ หรือดาวน์โหลดอีบุ๊ค Cosmetics and Personal Care Going Global ฟรี! ได้ที่ https://www.iexpressbydhl.com/th/landing/cosmetics-and-personal-care-export-trend