โดยทางผู้ให้บริการได้ร่วมกับ Ericsson ติดตั้งอุปกรณ์ 5G และอุปกรณ์โครงข่าย รวมถึงการอัปเกรดซอฟต์แวร์ Ciena เพื่อทำให้ความเร็วในการรับส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตรับส่งข้อมูลที่สูงขึ้นถึง 40 Gbps บนความถี่การรับส่งสัญญาณที่ 61.5 GHz และสามารถรับส่งสัญญาณแบนด์วิธรวมสูงสุด 30.4 Tbps ควบคู่ไปยัง Fiber เส้นเดียวกัน
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนทำให้ผู้ให้บริการสามารถรับส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตได้ความเร็วที่สูงขึ้นถึง 100 Gbps เมื่อปีที่แล้ว
ซึ่งการให้บริการของผู้ให้บริการทั้ง 3 บริษัทที่ช่วยให้ Telstra สามารถเสนอความจุให้กับลูกค้าได้ในระยะเวลาที่สั้น สามารถปรับเปลี่ยนขนาดเครือข่ายการส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและรองรับการใช้งานในอนาคต
นอกจากนี้ เมื่อเดือนสิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา ทางผู้ให้บริการได้ทำการทดสอบโครงข่ายสามารถรองรับความเร็วได้สูงขึ้น ถึงระดับ 800 Gbps ระหว่างศูนย์ข้อมูล โดยใช้คลื่นความถี่ 112.5 GHz และการรับส่งความเร็วอินเทอร์เน็ตอยู่ระหว่างเมลเบิร์นและซิดนีย์
การอัปเกรดโครงข่ายที่ผ่านมาในช่วงปี 2018 สามารถเพิ่มความเร็วได้สูงขึ้นถึงระดับ 400 Gbps โดยทาง Ciena ได้เพิ่มประสิทธิภาพของสเปกตรัมต่อ Fiber ที่มีค่าสูงสุดเท่าที่เคยมีมา
ซึ่งความเร็วการรับส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตถือว่าสามารถรองรับการใช้งานในช่วงการระบาดของ COVID-19 ได้ทันท่วงที
Emilio Romeo หัวหน้า Ericsson Australia และ New Zealand กล่าวว่า การวางรากฐานโครงข่ายโทรคมนาคมครั้งนี้ถือเป็นสิ่งที่สำคัญเนื่องจากทาง Telstra สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการรองรับโครงข่ายที่สำคัญอย่าง 5G และสามารถลดต้นทุนของโครงข่ายได้อีกด้วย
ที่ผ่านมาการทำงานระหว่างโครงข่าย Telstra และ Ericsson ในช่วงกันยายน 2563 สามารถทำลายสถิติความเร็วเครือข่ายด้วยความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุด 4.2 Gbps ในการโทรข้อมูล 5G mmWave ด้วยแพลตฟอร์มทดสอบมือถือสถานีฐาน Ericsson Radio System ซอฟต์แวร์เครือข่ายของ Ericsson และเครือข่ายหลักของ Ericsson โดยรวมช่องสัญญาณ 100 MHz 8ช่องสัญญาณกับเทคโนโลยี 2x2 MIMO และ 64QAM
ข้อมูล arnnet capacitymedia theconversation ciotechasia thenewdaily realestate bit myvalunet dailymercury