ในปี 2563 นับว่าเป็นปีที่กิจกรรมทางอวกาศกลับมาคึกคักอีกครั้ง ทั้งจากการที่ภาครัฐผลักดันให้เกิด พ.ร.บ. กิจการอวกาศ และการสร้างกลไกเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนากิจการอวกาศ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย new S-curve ที่จะทำให้ประเทศไทยมีความสามารถในการลงทุน และมีบทบาทที่สำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอวกาศ เพื่อสร้างมูลค่าให้แก่เศรษฐกิจไทย
สำหรับบทบาทของภาคเอกชนเอง ก็นับว่าเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมอวกาศ ซึ่งปีนี้บริษัทด้านดาวเทียมและเทคโนโลยีอวกาศภาคเอกชน บริษัท มิว สเปซ แอนด์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มิว สเปซ คอร์ป) ที่ก่อตั้งมาเพียง 3 ปี สามารถดึงดูดนักลงทุนเอกชนจากหลากหลายอุตสาหกรรมธุรกิจ ให้มาลงทุนในอุตสาหกรรมด้านอวกาศ ทั้ง บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน), ผู้บริหารกลุ่ม Dow Chemical, SCG รวมถึงนักลงทุนปัจจุบันอย่าง Nice Apparel Group ผู้ผลิตเสื้อผ้ากีฬาระดับโลก, B.Grimm Group ,Majuven Fund กลุ่มธุรกิจเอกชน และกลุ่มนักลงทุนรายย่อยอื่นๆ เช่นผู้บริหารจาก UCLA Foundation จนกระทั่งดันให้มูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้นสูงกว่า 3,000ล้านบาท สำหรับการระดมทุนในระดับ Series B
เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม วรายุทธ เย็นบำรุง กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มิว สเปซ คอร์ป กล่าวในงานวันเปิดตัว (Soft Opening) โรงงานการผลิตแห่งแรก ว่า “เงินลงทุนที่ได้จากการระดมทุนในรอบนี้ จะนำไปใช้สำหรับการเร่งสร้างโรงงานขนาดใหญ่ต่อไป เพื่อที่จะผลิตชิ้นส่วนและสร้างยานอวกาศ(Spaceship) ลำแรกของประเทศไทยรวมถึงการผลิตชิ้นส่วนดาวเทียมและ ยานอวกาศสำหรับใช้ในประเทศเพื่อการส่งออก ภารกิจด้านการสื่อสาร, ความมั่นคง, ระบบระบุตำแหน่งบนพื้นโลก(GPS) ทดสอบหุ่นยนต์และ ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติสำหรับยานพาหนะไร้คนขับบนดวงจันทร์ โดยจะนำเทคโนโลยี 5G มาใช้ภายในโรงงาน รวมถึงจะเป็นพื้นที่สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยี Space IDC ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะทำการทดสอบระบบ Space IDC จำลองภายในไตรมาสแรกของปี 2564 นี้”
สำหรับการให้บริการ Space IDC หรือ Space Internet Data Center เป็นการดำเนินโครงการที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง มิว สเปซ คอร์ป และ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการศูนย์กลางข้อมูล (Data Center) ที่อยู่นอกชั้นบรรยากาศของโลก
“มิว สเปซ มีเป้าหมายที่จะสร้างสถานีเกตเวย์ อีก 11 แห่งเริ่มที่กรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับการใช้งานของดาวเทียมวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit Satellite: LEO) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และกำลังเตรียมความพร้อมที่จะเข้าประมูลโครงการอวกาศขององค์การนาซ่า (NASA) อีก 8 โครงการ ในช่วงต้นปี 2564 จากประสบการณ์ที่ผ่านมา มิว สเปซ มีการความก้าวหน้ามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการร่วมส่งโครงการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศทั้งสิ้น 7 โครงการ ซึ่ง Tipping Point Solicitation Project สามารถผ่านการพิจารณาในรอบแรกได้สำเร็จ จึงคาดว่าในครั้งนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากที่ มิว สเปซ จะได้รับเลือกเข้าโครงการพัฒนา” วรายุทธกล่าว
ในท่ามกลางวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 มิว สเปซ มีแผนที่จะเพิ่มการจ้างงานมากกว่า 100 อัตรา โดยเริ่มที่ 50 อัตราแรกภายในต้นปี 2564 เพื่อสร้างแรงงานทักษะสูง และให้สอดคล้องกับแผนการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอวกาศ ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีของประเทศไทย ที่มีบริษัทเอกชน คนรุ่นใหม่ ที่มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างนวัตกรรม เพื่อผลักดันให้อุตสากรรมอวกาศสามารถเป็นเศรษฐกิจใหม่ (New economy) ในประเทศไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม