True 5G เครือข่ายอัจฉริยะรายแรก รายเดียว ครบกว่า เร็วแรงยิ่งกว่าครอบคลุมกว่า ทุกการใช้งาน นำโดย พิรุณ ไพรีพ่ายฤทธิ์ หัวหน้าคณะทำงานและกรรมการยุทธศาสตร์ 5G คนึงเดช ไตรรัตนอุปถัมภ์ ผู้อำนวยการด้านปฏิบัติการโครงข่าย บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น จับมือ ควอลคอมม์ เทคโนโลยี อิงค์ ผู้นำนวัตกรรมเทคโนโลยีไร้สายแห่งอนาคต และเป็นผู้ผลักดันให้เกิดการพัฒนา และการให้บริการ 5G โดย มร. เอสที หลิว รองประธาน ควอลคอมม์ ซีดีเอ็มเอ เทคโนโลยี เอเชีย-แปซิฟิก และประธาน บริษัท ควอลคอมม์ ไต้หวัน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมพัฒนาเทคโนโลยี 5G ที่ดีที่สุดบนคลื่นความถี่สูง 26 GHz. หรือเรียกว่าย่าน mmWave (millimeter wave) เป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสามารถทำความเร็วแรงสูงสุดถึง 2.3 Gbps. ผ่านเครือข่ายทรู 5G และ Qualcomm® 5G Fixed Wireless Access Platform ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ในตลาดที่มีประสิทธิภาพสุงสุดในขณะนี้ คลื่นย่าน mmWave นี้มีลักษณะเด่นคือ มีแบนด์วิธกว้างมาก รองรับความเร็วได้มากกว่า 4G ถึง 20 เท่า ส่งผลให้มีความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสุดมากกว่า 10 Gbps. หรือเร็วกว่าเน็ตบ้านในปัจจุบัน แต่ระยะของการส่งข้อมูล หรือพื้นที่ให้บริการสั้นกว่าคลื่นย่านอื่น จึงเหมาะกับการส่งข้อมูลระยะใกล้ที่ต้องการความเร็วสูงมาก ซึ่งในต่างประเทศมีการนำมาให้บริการ Fixed Wireless Access หรือ FWA แทนอินเทอร์เน็ตบ้าน หรือนำไปใช้งานเป็น Hotspot ในพื้นที่ที่มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตหนาแน่น นอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้บริการ industrial IoT ได้ในอนาคต โดยเริ่มต้นได้ติดตั้งสัญญาณทรู 5G บนคลื่น 26 GHz. ไว้ที่ True XR Studio และทรู ดิจิทัล พาร์ค
พิรุณ ไพรีพ่ายฤทธิ์ หัวหน้าคณะทำงานและกรรมการยุทธศาสตร์ 5G บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “หลังจากที่กลุ่มทรูได้เปิดให้บริการ 5G บนคลื่นความถี่ 700 MHz.เป็นรายแรกในไทยไปเมื่อปลายปีที่แล้ว รวมทั้งมีเสาสัญญาณ 5G มากกว่า 10,000 เสาทั่วประเทศ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่เครือข่ายอัจฉริยะทรู 5G ครอบคลุมแล้วถึง 98% ของประชากร และล่าสุด ได้คลื่นความถี่สูง 26 GHz.ซึ่งเพิ่งได้รับใบอนุญาตมาเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้เครือข่ายอัจฉริยะทรู 5G เป็นรายแรก รายเดียว ที่มีคลื่นครบสุดทุกย่านความถี่ รองรับทั้งดิจิทัลไลฟ์ไตล์ และอุตสาหกรรม โดยวันนี้ทรูได้ร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่างควอลคอมม์ เทคโนโลยี ซึ่งเป็นผู้นำด้านการผลิตชิปเซ็ต 5G ในระดับโลก พัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถของทรู 5G บนคลื่น 26 GHz. ร่วมกันเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะช่วยให้เกิดการพัฒนาอีโคซิสเต็มส์ เกิดการใช้งานคลื่น 26 GHz ได้จริง โดยได้โชว์ศักยภาพของเครือข่ายทรู 5G ผ่าน CPE Qualcomm ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ในตลาดที่มีประสิทธิภาพสุงสุดในขณะนี้ สามารถทำความเร็วแรงสูงสุดถึง 2.3 Gbps. นอกจากนี้ ยังแสดงความสามารถในการดาวน์โหลดคอนเทนต์ ที่มีขนาด 40 GB ใช้เวลาเพียง 5 นาที โดยคลื่น 26 GHz. หรือเรียกว่าย่าน mmWave (millimeter wave) เป็นคลื่นที่มีจุดเด่นคือแบนด์วิธที่กว้างมาก ทำให้มีความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสุดมากกว่า 10 Gbps แต่มีระยะของการส่งข้อมูล หรือพื้นที่ให้บริการสั้นกว่าคลื่นย่านอื่น จึงเหมาะกับการส่งข้อมูลระยะใกล้ที่ต้องการความเร็วสูงมาก ซึ่งในต่างประเทศมีการนำมาให้บริการ Fixed Wireless Access หรือ FWA แทนอินเทอร์เน็ตบ้าน เพราะเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่านสายไฟเบอร์ในบางประเทศยังไม่ครอบคลุม เช่น ในสหรัฐอเมริกา mmWave จึงเป็นคลื่นที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสร้างความสมบูรณ์ให้กับบริการ 5G ในไทย ทั้งในแง่ B2C คือนำไปใช้งานเป็น Hotspot ในพื้นที่ที่มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตหนาแน่น และ B2B โดยนำไปใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อให้ บริการ industrial IoT และรองรับพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ได้ในอนาคต”
มร. เอสที หลิว รองประธาน ควอลคอมม์ ซีดีเอ็มเอ เทคโนโลยี เอเชีย-แปซิฟิก และประธาน บริษัท ควอลคอมม์ ไต้หวัน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “ด้วยศักยภาพความเป็นผู้นำในการให้บริการ 5G บนย่าน mmWave ของควอลคอมม์ เทคโนโลยี จะทำให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ / โมบายล์ โอเปอเรเตอร์ มีข้อได้เปรียบอย่างมีนัยยะสำคัญภายในไม่กี่ปีข้างหน้า ในการรองรับความต้องการใช้งานโมบายล์ดาต้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมถึงการขยายการเชื่อมต่อ 5G ไปสู่ Fixed Wireless Accessเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตในบ้าน องค์กรธุรกิจ และการใช้งานแอปพลิเคชันในภาคอุตสาหกรรม ดังนั้น เราจึงรู้สึกตื่นเต้นและภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมสนับสนุนทรู 5G บนคลื่น 26 GHz ย่าน mmWave เชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งการเข้าถึงเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น mmWave นี้ เราจะสามารถนำเสนอ “การเชื่อมต่อที่เหนือกว่า” โดยช่วยให้โอเปอเรเตอร์ บริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งมอบอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วแรงเทียบเท่าไฟเบอร์ในรูปแบบไร้สายผ่าน 5G ให้แก่ผู้บริโภคและบริษัทต่างๆ ทั่วประเทศไทย อีกทั้งกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมในภาคอุตสาหกรรม สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ๆ ตลอดจนสร้างงานเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป”