Galaxy Z Fold3 5G คือขุมพลังสำหรับการใช้งานแบบมัลติทาส์กอย่างแท้จริง ด้วยจอแสดงผล Infinity Flex ขนาด 7.6 นิ้ว[1] ที่พร้อมรองรับการใช้งาน S Pen[2] บนสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้เป็นครั้งแรก ในขณะที่ Galaxy Z Flip3 5G
มาพร้อมกับดีไซน์อันโฉบเฉี่ยว แต่กะทัดรัด พกพาสะดวก รวมถึงหลากหลายฟีเจอร์อันล้ำสมัย กล้องที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ และหน้าจอด้านหน้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้น[3] เพื่อการใช้งานได้รวดเร็วในทุกขณะ
ดร. ทีเอ็ม โรห์ ประธานฝ่าย โมบายล์ คอมมูนิเคชัน ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ กล่าวว่า “ซัมซุง ในฐานะผู้บุกเบิกและผู้นำด้านสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ เรามีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่จะสานต่อนวัตกรรมอันก้าวล้ำไปสู่ Galaxy Z Fold3 5G | Flip3 5G ซึ่งถือเป็นสมาร์ทโฟนที่จะมากำหนดนิยามและปลดล็อกความเป็นไปได้ใหม่ๆ ด้วยความสามารถในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานที่หลากหลายและง่ายดายเหมาะสำหรับโลกในปัจจุบัน ร่วมไปกับเหล่ากาแลคซี่อีโคซิสเต็ม ที่มาพร้อมระบบนิเวศแบบเปิดและนวัตกรรมอีกมากมาย”
การสร้างสรรค์อันประณีตที่มาพร้อมที่สุดแห่งความแข็งแกร่ง
Galaxy Z Fold3 5G | Flip3 5G มาพร้อมมาตรฐานการทนน้ำระดับ IPX8[4] ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของสมาร์ทโฟนตระกูล Z Series พร้อมด้วยวัสดุตัวเครื่องที่ทำมาจาก Armor Aluminum ซึ่งเป็นอลูมิเนียมที่แข็งแรงที่สุดเท่าที่เคยนำมาใช้กับสมาร์ทโฟน รวมถึง Corning® Gorilla® Glass Victus™ ที่ช่วยปกป้องเครื่องจากรอยขีดข่วนและการตกหล่น พร้อมฟิล์มกันรอยแบบยืดชนิดใหม่ (Stretchable PET)[5] และการปรับชั้นแผงหน้าจอหลัก ซึ่งส่งผลให้หน้าจอมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 80%[6]
นอกจากนี้ ซัมซุงยังได้คงนวัตกรรมบานพับ ‘Hideaway Hinge’ ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติรูปแบบการพับไปอย่างสิ้นเชิงด้วยความสามารถในการกางออกและปรับองศาหน้าจอได้ตามต้องการเมื่อใช้งาน Flex mode[7] พร้อมสร้างความเชื่อมั่นด้วยผลการทดสอบความแข็งแกร่งต่อการพับ 200,000 ครั้ง[8] จาก Bureau Veritas ทั้งนี้ Galaxy Z Fold3 5G | Flip3 5G ยังได้มีการปรับเส้นใยไฟเบอร์ของ Sweeper technology ที่ทำหน้าที่กันฝุ่นละอองและสิ่งแปลกปลอมไม่ให้เข้าไปที่บานพับให้มีขนาดสั้นลง ทำให้เครื่องบางเบา โฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น โดยในด้านประสิทธิภาพการทำงาน สมาร์ทโฟนทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับขุมพลังชิปเซ็ต 5nm AP ที่ทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดีกับ 5G[9] band ทำให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้แก่ผู้ใช้ได้อีกด้วย
Samsung Galaxy Z Fold3 5G: ที่สุดของประสิทธิภาพบนสมาร์ทโฟนทั้งด้านการทำงานและความบันเทิง
ดื่มด่ำกับการรับชมคอนเทนต์บนหน้าจอขนาดใหญ่โดยไม่มีจุดรบกวนสายตา ด้วยหน้าจอแสดงผล Infinity Flex ขนาด 7.6 นิ้ว และกล้องใต้จอ (Under display camera) พร้อมเทคโนโลยีการแสดงผลหน้าจอ Eco แบบใหม่ ที่ให้ความสว่างหน้าจอเพิ่มขึ้นถึง 29%[10] แต่ใช้พลังงานลดลง[11] รวมถึงอัตรารีเฟรชหน้าจอที่ 120Hz มอบการแสดงผลที่ลื่นไหลไวต่อการตอบสนอง ทั้งบริเวณหน้าจอด้านนอกและด้านใน
ทั้งนี้ สำหรับ S Pen ที่ได้เผยโฉมเป็นครั้งแรกร่วมกับสมาร์ทโฟนตระกูล Z Series นี้ เป็น S Pen เวอร์ชั่นใหม่ที่ได้รับการพัฒนามาเพื่อใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้โดยเฉพาะ โดยมาพร้อมกับ 2 ตัวเลือก ได้แก่ S Pen Fold Edition และ S Pen Pro[12] ซึ่งทั้งคู่มาพร้อมหัวปากกาที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อปกป้องหน้าจอด้วยการจำกัดแรงกดลงบนหน้าจอหลักของ Galaxy Z Fold3 5G แต่ยังคงไว้ซึ่งความหน่วงต่ำ (low latency) เพื่อมอบสัมผัสการเขียนที่ลื่นอย่างเป็นธรรมชาติเสมือนปากกาจริง
Flex mode และ Multi-Active Window[13] ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ ถือเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ผู้ซึ่งกำลังมองหาวิธีการทำงานและใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดต้องชื่นชอบ ด้วยความสามารถในการทำกิจกรรมหลายอย่างได้พร้อมกัน ซึ่งใน Galaxy Z Fold3 5G นี้ ผู้ใช้ยังสามารถใช้งาน App Pair ได้ง่ายขึ้น ผ่านการสร้างปุ่มลัด (Shortcut) เพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชันที่ได้รับการจับคู่ไว้ได้อย่างสะดวกในการใช้งานครั้งต่อไป รวมถึงแถบเมนูใหม่ (Taskbar)[14] ที่ให้ผู้ใช้สลับการใช้งานระหว่างแอปพลิเคชันได้ทันทีโดยไม่ต้องย้อนกลับไปที่หน้าหลัก (Home screen) ก่อนอีกด้วย
Galaxy Z Flip3 5G: ที่สุดแห่งความลงตัวของสไตล์ ฟังก์ชัน และความสนุกไร้ขีดจำกัด
Galaxy Z Flip3 5G คือสมาร์ทโฟนที่ผู้ใช้สามารถบ่งบอกสไตล์ของตนเองออกมาได้อย่างเต็มที่ ผ่านพาเลทสีสันที่โดดเด่น ดีไซน์อันโฉบเฉี่ยว และฟีเจอร์สุดพรีเมียมมากมาย โดยจอด้านนอก หรือ Cover Screen โฉมใหม่ของ Galaxy Z Flip3 5G มาพร้อมขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 4 เท่า[15] จึงสามารถดูการแจ้งเตือนหรือข้อความต่างๆ ได้ง่ายขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องกางสมาร์ทโฟนออก หรือจะเพิ่มสไตล์ด้วยการเปลี่ยนภาพวอลเปเปอร์ให้แมทช์กับหน้าปัดของ Galaxy Watch4 series ก็สามารถทำได้อย่างลงตัว
Galaxy Z Flip3 5G ยังได้รับการออกแบบมาเพื่อปลดล็อคประสิทธิภาพสูงสุดในการถ่ายภาพด้วยฟีเจอร์กล้องสุดล้ำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการตั้งถ่ายเซลฟี่แบบแฮนด์ฟรีด้วย Flex mode ไปจนถึงการสแนปภาพหรือถ่ายวิดีโออย่างรวดเร็วแม้อยู่ในโหมดพับด้วยฟีเจอร์ Quick Shot นอกจากนี้ ยังมาพร้อมหน้าจอที่ลื่นไหลไม่มีสะดุดกับอัตรารีเฟรชเรท 120Hz ที่สามารถปรับได้โดยอัตโนมัติตามลักษณะการใช้งาน[16] พร้อมยังยกระดับช่วงเวลาแห่งความบันเทิงไปอีกขั้นด้วยลำโพงสเตอริโอระบบเสียง Dolby Atmos® และเมื่อใช้งาน Flex Mode ฟีเจอร์แผงควบคุม (Flex Mode Panel) โฉมใหม่จะทำให้ปรากฏคอนเทนต์วิดีโอที่จอด้านบน ในขณะที่ผู้ใช้ยังสามารถปรับค่าต่างๆ เช่น ความสว่างหน้าจอหรือระดับเสียงที่จอด้านล่างได้พร้อมกัน
ปลดล็อกความเป็นไปได้ใหม่กับประสบการณ์บนสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้
ยิ่งไปกว่านั้น ซัมซุงยังให้ความสำคัญกับการทำงานของนักพัฒนา ผู้ซึ่งอยู่เบื้องหลังการออกแบบประสบการณ์อันยอดเยี่ยมของสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ โดยการเปิดตัวแพลทฟอร์ม Remote Test Lab (RTL)[18] ให้เหล่านักพัฒนาสามารถสร้างสรรค์แอปพลิเคชัน ติดตั้งและทดสอบระบบได้โดยตรงแบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
Galaxy Buds2: หูฟังไร้สายคุณภาพเสียงระดับพรีเมียม พร้อมดีไซน์ที่ลงตัว
Galaxy Buds2 คือหูฟังไร้สายที่มีขนาดเล็กและมีน้ำหนักเบาที่สุดเท่าที่ซัมซุงเคยมีมา ซึ่งมาพร้อมกับดีไซน์โค้งมนอันเป็นเอกลักษณ์ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อมอบความสบายให้กับผู้ใส่ ทำให้สามารถใช้งานได้ตลอดทั้งวัน รวมถึงยังสามารถทำงานและเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และสมาร์ทวอทช์ในอีโคซิสเต็มของซัมซุงกาแลคซี่ได้อีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลง โทรศัพท์ หรือประชุมออนไลน์ Galaxy Buds2 ก็เพียบพร้อมไปด้วยทุกฟีเจอร์ที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นลำโพงไดนามิกระบบ 2 ทิศทาง ที่มอบคุณภาพเสียงคมชัด เบสนุ่มลึกและเสียงสูงที่ชัดเจน พร้อม Active Noise Cancelling ที่ช่วยตัดเสียงรบกวนภายนอกได้สูงสุดถึง 98% ในขณะเดียวกัน หากต้องการได้ยินเสียงบรรยากาศโดยรอบ ก็สามารถเลือกปรับ Ambient Sound ได้ถึง 3 ระดับ[19] และหูฟังรุ่นนี้ยังมาพร้อมโซลูชันใหม่ที่สามารถเรียนรู้และจดจำ เพื่อเลือกกันเสียงรบกวนภายนอกได้อย่างชาญฉลาดอีกด้วย ทั้งนี้ ซัมซุงยังได้พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ‘Earbud fit test’ ในแอปพลิเคชัน Galaxy Wearable เพื่อทดสอบการสวมใส่ให้พอดียิ่งขึ้น
รายละเอียดการวางจำหน่าย
ซัมซุงมีความตั้งใจที่จะมอบประสบการณ์อันเป็นเอกลักษณ์ของสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้สู่ผู้ใช้ได้มากยิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาของการนำเสนอสมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy Z Series ในราคาใหม่ โดย Galaxy Z Fold3 5G วางจำหน่ายในราคา 57,900 บาท (256GB) และ 61,900 บาท (512GB) มาในตัวเลือกทั้งหมด 3 สีสุดคลาสสิก ได้แก่ สีดำ Phantom Black, สีเขียว Phantom Green และ สีเงิน Phantom Silver
ในขณะที่ Galaxy Z Flip3 5G วางจำหน่ายในราคา 34,900 บาท (128GB) และ 36,900 บาท (256GB) มาในตัวเลือก 4 สีสุดโมเดิร์น ได้แก่ สีครีม, สีเขียว, สีม่วงลาเวนเดอร์ และ สีดำ Phantom Black เพิ่มความชิคด้วยเคสรุ่นใหม่ที่มาพร้อมห่วงและสายคล้องนิ้ว[20] ซึ่งจะช่วยให้การถือและเปิดใช้งานสมาร์ทโฟนสะดวกยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ซัมซุงยังให้ผู้ใช้เลือกแมทช์สีให้เข้ากับสไตล์ของตัวเองได้มากขึ้นด้วยสีพิเศษ ได้แก่ สีเทา, สีชมพู และสีขาว เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะ Samsung.com[21] เท่านั้น
และสำหรับหูฟังไร้สาย Galaxy Buds2 จะวางจำหน่ายในราคา 3,990 บาท ซึ่งถือเป็นราคาเปิดตัวที่เข้าถึงได้มากที่สุดในไลน์อัป Galaxy Buds ของซัมซุง มาในตัวเลือก 3 สี[22] ได้แก่ สีแกรไฟต์, สีเขียว Olive และ สีม่วงลาเวนเดอร์ พร้อมด้วยอุปกรณ์เสริมสุดเก๋อีกมากมาย[23]
จองเครื่องผ่านค่ายมือถือ ดูโปรโมชั่น