8 ก.ย. 2564 832 0

อะโดบีเผยผลการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของการแพร่ระบาดที่มีต่อ เวลาทำงาน และชีวิตส่วนตัว

อะโดบีเผยผลการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของการแพร่ระบาดที่มีต่อ เวลาทำงาน และชีวิตส่วนตัว

อะโดบีเผยผลการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของการแพร่ระบาดที่มีต่อ “เวลาทำงาน และชีวิตส่วนตัว” – กลุ่มคน Gen Z ต้องการออกแบบตารางเวลาชีวิตได้อย่างอิสระ และพนักงานคาดหวังองค์กรเพิ่มตัวช่วยด้านเทคโนโลยีในการทำงานให้ดีขึ้น

โดย ท็อด เกอร์เบอร์,  รองประธานฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ Adobe Document Cloud

Work-Life Balance ยังมีอยู่จริงหรือ? : อะโดบีเผยผลการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของการแพร่ระบาดที่มีต่อ “เวลาทำงาน และชีวิตส่วนตัว” – กลุ่มคน Gen Z ต้องการออกแบบตารางเวลาชีวิตได้อย่างอิสระ และพนักงานคาดหวังองค์กรเพิ่มตัวช่วยด้านเทคโนโลยีในการทำงานให้ดีขึ้น

สถานการณ์ในช่วงปีที่ผ่านมาส่งผลให้เราต้องคิดทบทวน และปรับเปลี่ยนการจัดลำดับความสำคัญของเรื่องต่างๆ และสิ่งที่หลายๆ คนต้องการมากที่สุดก็คือ “การมีเวลามากขึ้น”

ทุกวันนี้ ผู้คนทั่วโลกรู้สึกกดดัน เครียด และเหนื่อยล้ามากขึ้น แม้ว่าการทำงานจากที่บ้านจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับวันทำงาน แต่ขณะเดียวกันองค์กรก็มีความคาดหวังเพิ่มสูงขึ้นว่าพนักงานจะต้องพร้อมทำงานอยู่เสมอ และสำหรับหลายๆ คน เส้นแบ่งระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้ถูกหลอมรวมเป็นเส้นเดียวกันไปแล้ว

ขณะที่เรากำลังก้าวเข้าสู่โลกของการทำงานแบบไฮบริดในอนาคต อะโดบีได้สำรวจความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่าง 5,500 คน ซึ่งประกอบด้วยพนักงานบริษัท ผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอี ใน 7 ภูมิภาคทั่วโลก โดยมีการสอบถามเกี่ยวกับเวลาที่รู้สึกกดดันมากที่สุด และส่งผลกระทบกับชีวิตทำงานและชีวิตส่วนตัวอย่างไร ซึ่งคำตอบที่ได้รับชี้ให้เห็นว่าแนวคิดเรื่องเวลาได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก


การทำงานจากที่บ้านส่งผลให้ “เวลาส่วนตัวกลายเป็นเวลาทำงาน”

หนึ่งในคำถามที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับการทำงานจากที่บ้านคือ “ก่อนนี้เราเคยใช้เวลาราวสองชั่วโมงต่อวันเดินทางไป-กลับที่ทำงาน แต่ตอนนี้เมื่อเราทำงานจากที่บ้าน เราใช้เวลาดังกล่าวไปกับเรื่องใดบ้าง?” คำตอบที่ได้คือ คนจำนวนมากใช้เวลาว่างที่เพิ่มขึ้นเป็นชั่วโมงทำงานที่เพิ่มขึ้น

จากผลการสำรวจของอะโดบี พบว่า 49 เปอร์เซ็นต์ของพนักงานบริษัท และ 56 เปอร์เซ็นต์ของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ระบุว่า ทุกวันนี้พวกเขาใช้เวลาทำงานยาวนานกว่าเดิม กล่าวคือ พนักงานบริษัททำงานโดยเฉลี่ย 44.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ส่วนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทำงานโดยเฉลี่ย 45.1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งมากกว่าชั่วโมงทำงานปกติ

เวลาที่เพิ่มขึ้นย่อมหมายถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นว่าพนักงานหรือผู้ประกอบการต้อง “พร้อมติดต่อได้เสมอ” แม้กระทั่งหลังเวลาเลิกงาน ทั้งนี้ เกือบครึ่งหนึ่งของพนักงานบริษัท และ 3 ใน 5 ของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรู้สึกกดดันที่จะต้องตอบกลับอีเมล และแก้ปัญหาให้กับลูกค้าหลังเวลางาน


ภาวะหมดไฟในการทำงาน — ปัญหาใหญ่ของผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการที่เป็นสตรี และผู้ประกอบการที่เป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศนั้น (minority-owned businesses)

ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout) กลายเป็นปัญหาที่พบมากในช่วงปีที่ผ่านมา โดยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกว่าหนึ่งในสามประสบกับปัญหาที่พนักงานรู้สึกเหนื่อยล้า และหมดไฟในการทำงานเพราะความเครียดจากการทำงานในช่วงแพร่ระบาด

อย่างไรก็ตาม ภาวะหมดไฟในการทำงานไม่ได้เกิดขึ้นในระดับที่เท่าเทียมกันกับคนทุกกลุ่ม กล่าวคือ ผู้ประกอบการที่เป็นชนกลุ่มน้อย* (67 เปอร์เซ็นต์), ผู้ประกอบการที่เป็นสตรี (49 เปอร์เซ็นต์) และผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตของผู้คน* (67 เปอร์เซ็นต์) มีความเครียดเกี่ยวกับเวลาในการทำงานมากกว่าผู้ประกอบการที่ไม่ใช่ชนกลุ่มน้อย (52 เปอร์เซ็นต์), ผู้ประกอบการที่เป็นผู้ชาย (38 เปอร์เซ็นต์) และผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กบางประเภท (49 เปอร์เซ็นต์)


ความเครียดดังกล่าวยังส่งผลกระทบไปถึงเรื่องชีวิตส่วนตัวด้วย โดยผู้ประกอบการที่เป็นชนกลุ่มน้อย (64 เปอร์เซ็นต์), ผู้ประกอบการที่เป็นสตรี (54 เปอร์เซ็นต์) และผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตของผู้คน* (60 เปอร์เซ็นต์) มีความเครียดในเรื่องชีวิตส่วนตัวมากขึ้นจากการที่ต้องคอยประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอดในเวลาเดียวกัน

“ในฐานะที่เป็นแม่และเจ้าของธุรกิจ ดิฉันต้องทำงานจิปาถะมากมายหลายอย่างตลอดทั้งวัน ไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงหัวค่ำหลังเวลาเลิกงาน และวันเสาร์-อาทิตย์” ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายหนึ่งกล่าว

ผลการสำรวจพบว่า ผู้ประกอบการที่เป็นชนกลุ่มน้อย (55 เปอร์เซ็นต์) และผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตของผู้คน*  (51 เปอร์เซ็นต์) ระบุว่าตนเองรู้สึกหมดไฟในการทำงานและการประกอบธุรกิจ  นอกจากนี้ ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กที่จำเป็นเกือบครึ่งหนึ่งระบุว่าตนเองยินดีที่จะขายธุรกิจในวันพรุ่งนี้ถ้าเป็นไปได้


กลุ่มคน Gen Z คือแรงขับเคลื่อนหลักของกระแส “การลาออกครั้งใหญ่”

จากผลการศึกษาไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่มีพนักงานลาออกเพิ่มมากขึ้น โดยในช่วงเดือนเมษายนเพียงเดือนเดียว พนักงานในสหรัฐฯ กว่า 4 ล้านคนลาออกจากงาน ตามข้อมูลจากกระทรวงแรงงานของสหรัฐฯ

เป็นที่แน่ชัดว่าเทรนด์นี้จะยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง  ตัวอย่างเช่น พนักงานบริษัท 35 เปอร์เซ็นต์ระบุว่าตนเองมีแผนที่จะเปลี่ยนงานในปีหน้า และ 61 เปอร์เซ็นต์ของคนกลุ่มนี้ระบุถึงเหตุผลว่าเป็นเพราะ “ต้องการที่จะออกแบบตารางเวลาชีวิตของตนเองได้อย่างอิสระมากขึ้น”

ตัวเลขดังกล่าวอยู่ในระดับที่สูงยิ่งขึ้นสำหรับคนเพิ่งเริ่มทำงาน โดยถึงแม้ว่าคน Gen Z จะเพิ่งเข้าสู่ตลาดแรงงานเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่กว่าครึ่งหนึ่งมีแผนที่จะหางานใหม่ในปีหน้า  นอกจากนี้ คนกลุ่มนี้ยังระบุว่าพวกเขามีความพึงพอใจน้อยที่สุดกับ work-life balance (56 เปอร์เซ็นต์) รวมถึงอาชีพการทำงานโดยรวม (59 เปอร์เซ็นต์) และคนกลุ่มนี้รู้สึกกดดันมากที่สุดที่จะต้องทำงานใน “ช่วงเวลาทำงานตามปกติ” (62 เปอร์เซ็นต์) และหนึ่งในสี่ระบุว่าตนเองทำงานได้ดีที่สุดในช่วงเวลาอื่นที่ไม่ใช่เวลาทำงาน 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งของคนรุ่น Gen Z ระบุว่าตนเองมักจะทำงานบนเตียงนอนเป็นประจำ


พนักงานต้องการ “เทคโนโลยี” ที่จะช่วยเสริมศักยภาพการทำงานให้ดีขึ้น

แม้ว่าแรงขับเคลื่อนที่อยู่เบื้องหลังเทรนด์เหล่านี้จะมีลักษณะซับซ้อน แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดจากผลการสำรวจก็คือ พนักงานมีความคาดหวังที่สูงขึ้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่จะช่วยให้พวกเขาทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับงานง่ายๆ อย่างเช่น การจัดการไฟล์ แบบฟอร์ม สัญญา การชำระเงิน และใบแจ้งหนี้  พนักงานต้องใช้เวลาราวหนึ่งในสามของชั่วโมงทำงานไปกับงานธุรการที่ต้องทำซ้ำๆ โดย 86 เปอร์เซ็นต์ของพนักงานบริษัท และ 83 เปอร์เซ็นต์ของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ระบุว่างานปลีกย่อยเหล่านี้เป็นอุปสรรคที่บั่นทอนประสิทธิภาพในการทำงาน  91 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามมีความสนใจในเครื่องมือที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับงานหรือกระบวนการต่างๆ เช่น Adobe Acrobat และ Adobe Sign

ในอนาคต พนักงานจะต้องทำงานร่วมกันกับคนที่อยู่ในออฟฟิศ และคนที่ทำงานจากที่บ้าน ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการปรับใช้เครื่องมือทางด้านเทคโนโลยีที่ใช้งานง่าย รวมไปถึงเทคโนโลยี AI และระบบอัตโนมัติ เพื่อรักษาและดึงดูดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถให้ทำงานกับองค์กรไปนานๆ  ผลการศึกษาของอะโดบีชี้ว่า พนักงานบริษัทราวครึ่งหนึ่งพร้อมที่จะเปลี่ยนงานถ้าหากว่าที่ทำงานใหม่มีเครื่องมือที่ดีกว่า ซึ่งจะช่วยให้เขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

แล้วถ้าหากพนักงานมีเวลาว่างมากขึ้นเพราะได้ตัวช่วยเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากกว่า เขาจะใช้เวลาว่างที่เหลืออยู่ไปกับเรื่องใด?  ปรากฏว่าผู้ตอบแบบสอบถามราวครึ่งหนึ่งมีแผนที่จะใช้เวลาไปกับเรื่องอื่นๆ ที่ตนเองสนใจ รวมถึงการพัฒนาทักษะและความสามารถเพื่อการเติบโตในอนาคต

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดาวน์โหลดรายงาน Adobe Future of Time ฉบับเต็มได้จากเว็บไซต์

*ผู้ประกอบการที่เป็นชนกลุ่มน้อย* ครอบคลุมผู้ตอบแบบสอบถามในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรเท่านั้น

*ธุรกิจขนาดเล็กที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตของผู้คน* หมายถึง ธุรกิจที่จัดหาสินค้าหรือบริการที่จำเป็นให้แก่ผู้บริโภค เช่น ร้านขายของชำ บริการด้านสุขภาพ และบริการฉุกเฉินในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาด