สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
ประกาศแผนที่จะสนับสนุน มิว สเปซ บริษัทเอกชน
ผู้ผลิตชิ้นส่วนด้านการบินและอวกาศชั้นนำของไทย
เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอวกาศของประเทศ
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้ออกมาประกาศถึงการเตรียมการวางแผนสนับสนุนและปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ในการลงทุนสำหรับปี 2565 เพื่อชักจูงให้เกิดการลงทุนในธุรกิจดาวเทียมของประเทศไทยโดยจะให้สิทธิประโยชน์เท่ากับอุตสาหกรรม new s-curve โดยปัจจุบัน บีโอไอกำลังหารือร่วมกับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยด้านอวกาศของไทยเพื่อกำหนดเป็นนโยบายส่งเสริมการลงทุน ซึ่งจะประกาศแผนการสนับสนุนการลงทุนภายในปลายปีนี้
จากข้อมูลของบีโอไอ
จำนวนดาวเทียมต่อปีที่อยู่ในระยะสูงกว่าพื้นโลก 500
กิโลเมตรกำลังเพิ่มขึ้นพร้อมกับความต้องการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมแม้จะมีการระบาดทั่วโลกของสถานการณ์โควิด-19
ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา
บีโอไอเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเติบโตของธุรกิจผลิตดาวเทียมภายในประเทศ
และเนื่องจากประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
บีโอไอจึงตั้งเป้าที่จะปรับสิทธิประโยชน์เพื่อสนับสนุนการลงทุนในการผลักดันให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตดาวเทียม
พร้อมทั้งวางแผนที่จะร่วมมือกับบริษัท มิว สเปซ
แอนด์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนการบินและอวกาศของประเทศ
ทั้งนี้
บีโอไอตั้งเป้าไว้ว่าจะดึงดูดนักลงทุนจากประเทศอเมริกา ญี่ปุ่น และอิสราเอล
เพื่อต่อยอดการพัฒนาอุตสาหกรรมดาวเทียม
รวมถึงอุตสาหกรรมการบินและอวกาศของประเทศและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ชนินทร์
ขาวจันทร์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวว่า “เราจำเป็นต้องพัฒนาตัวเองไปสู่อุตสาหกรรมที่สูงขึ้น
ที่มีมูลค่ามากขึ้นเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของเรา
เรามองเห็นว่าอุตสาหกรรมอวกาศต่อไปข้างหน้าจะมีความต้องการมากขึ้น
ทำให้คนของเรามีโอกาสได้พัฒนาทักษะและเรียนรู้เกี่ยวกับการผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง
สามารถสร้างรายได้ และทำให้ประเทศก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง”
“บริษัทเอกชนของไทย เช่น มิว
สเปซที่มีศักยภาพในการผลิตดาวเทียมเองได้แล้ว
เป็นตัวจุดประกายที่จะสามารถสร้างซัพพลายเชนของดาวเทียมในประเทศไทยในระยะ 10 ปี
มิว สเปซ เป็นผู้ที่มีองค์ความรู้ด้านนี้ และสามารถดึงคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมนี้เข้ามาพัฒนาผลิตภันฑ์ด้านเทคโนโลยีอวกาศต่างๆ
ได้”
มิว สเปซได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ ในชั้น A1
ซึ่งเป็นชั้นสูงสุด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยสิทธิประโยชน์ที่มิว
สเปซได้รับนั้นรวมถึง การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี
โดยไม่กำหนดวงเงิน ยกเว้นอากรนำเข้าเครื่องจักร อากรขอนำเข้าเพื่อวิจัย
และอากรวัตถุดิบผลิตเพื่อส่งออก ตลอดจนสิทธิประโยชน์อื่นๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตดาวเทียมและชิ้นส่วนดาวเทียมภายในประเทศ
รวมถึงดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ
ทั้งนี้ มิว สเปซ
ได้เปิดตัวโรงงานผลิตดาวเทียมแห่งที่สองซึ่งเป็นโรงงานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของบริษัทฯ
ในปัจจุบัน โรงงานแห่งใหม่นี้มีพื้นที่มากกว่า 2,200 ตารางเมตร
โดยยังเป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนด้านการบินและอวกาศแห่งแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการพัฒนา ทดสอบ และผลิตชิ้นส่วนดาวเทียมและผลิตภัณฑ์ด้านอวกาศ
ด้วยการใช้สถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผลิตดาวเทียมแบบไฮเบย์
การบูรณาการระบบพลังงานและห้องปฏิบัติการสำหรับพัฒนาแบตเตอรี่เซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูง
รวมถึงพื้นที่ทดสอบการทำงานของระบบเทคโนโลยีต่างๆ ภายในโรงงาน
โรงงานแห่งใหม่ของมิว
สเปซเป็นก้าวสำคัญของวงการอวกาศของไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เพราะจะช่วยขับเคลื่อนความสามารถในการแข่งขันของประเทศในตลาดดาวเทียมระดับโลก
พร้อมกับที่ภูมิภาคนี้ได้เร่งการเติบโตและการมีส่วนรวมในการแข่งขันทางด้านอวกาศในระดับสากล
มิว สเปซ ได้เร่งแผนการเติบโตอย่างรวดเร็ว
และคาดว่าจะสามารถเพิ่มอัตราการจ้างงานด้านเทคโนโลยีขั้นสูงกว่า 300
ตำแหน่งภายในปี 2565 โดยคาดว่าจะเพิ่มอีก 150 ตำแหน่งภายในปีนี้
บริษัทให้ความสำคัญกับคนรุ่นใหม่ของประเทศที่มีความหลากหลายและความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกันในด้านธุรกิจและเทคโนโลยี
เนื่องจากบริษัทฯ
มองว่าเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนเพื่อการสร้างเทคโนโลยีที่ทันสมัยและการสำรวจอวกาศ
ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้นี่เองจึงทำให้มีการคาดการณ์ว่า มูลค่าของมิว
สเปซจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ มีแผนจะเริ่มเปิดระดมทุนรอบใหม่ในเร็วๆ
นี้อีกด้วย
วรายุทธ เย็นบำรุง กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิว สเปซ กล่าวถึงความร่วมมือในอนาคตกับบีโอไอ ว่า “ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีและดาวเทียม เรารู้สึกขอบคุณที่ BOI มองเห็นศักยภาพของเราและยินดีสนับสนุนเราให้เป็นผู้นำอุตสาหกรรมอวกาศในประเทศไทย เราสัญญาว่าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตดาวเทียมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และปรับปรุงเศรษฐกิจของประเทศ ทีมวิศวกรของเรากำลังทำงานอย่างไม่ลดละเพื่อพัฒนาดาวเทียมดวงแรกของ มิว สเปซ ซึ่งจะเปิดตัวทดสอบในต้นปีหน้า ประเทศไทยและเอเชียได้รับความไว้วางใจให้เป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์และปิโตรเคมีของโลกมาอย่างยาวนาน ตอนนี้ ถึงเวลาแล้วที่เราจะเป็นศูนย์กลางสำหรับอุตสาหกรรมอวกาศ”
ในช่วงปีที่ผ่านมา มิว สเปซ
สามารถดึงดูดนักลงทุนจากภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจรายใหญ่มากมาย
ให้เข้ามาลงทุนในบริษัทฯ ที่กำลังเติบโต เช่น บี.กริม จอยน์ เว็นเจอร์ -
อุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าเอกชนของไทย
กองทุนมาจูเวน (Majuven) และกลุ่มนักธุรกิจเอกชนต่างๆ ทั้งภายในและนอกประเทศ
เช่น ผู้บริหารจากมูลนิธิมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (UCLA)
รวมทั้งนักลงทุนรายอื่นๆ อีกมากมาย
แม้ว่าอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลกอาจได้รับผลกระทบจากโควิด-19
และมีอัตราการเติบโตที่ลดลงอย่างมากในช่วงเวลานี้
อุตสาหกรรมอวกาศทั่วโลกในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่สูงขึ้น
โดยมีการปล่อยดาวเทียมมากกว่าร้อยดวงสู่อวกาศ นอกจากนี้ ภายในเดือนเมษายน ปี 2564
มีการระบุว่าดาวเทียม 7,389 ตัวกำลังลอยและปฏิบัติการในอวกาศเพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน
ไม่ว่าจะเป็น เพื่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การพยากรณ์อากาศ การสนับสนุนทางทหาร
การนำทาง การถ่ายภาพโลก การเฝ้าติดตามสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม และการสื่อสาร
เป็นต้น โดยจำนวนดาวเทียมในปีนี้เพิ่มขึ้นสูงถึง 27.97 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปี 2563 โดยในปัจจุบัน
ดาวเทียมทั้งหมดที่ปล่อยขึ้นสู่ชั้นอวกาศมีจำนวนสูงถึง 11,139 ดวง
การสำรวจอวกาศคาดว่าจะมีมูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2583
โดยมูลค่าตลาดอุตสาหกรรมดาวเทียมขนาดเล็กคาดว่าจะเติบโตถึง 220 เปอร์เซ็นต์ ที่
54.2 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2573
เนื่องจากรายได้จากอุตสาหกรรมอวกาศทั่วโลกจะพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมอวกาศโลกจะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมอวกาศในเอเชีย
ทั้งนี้ บีโอไอเชื่อว่าในอีก 2 ปีข้างหน้า
ทางบีโอไอคาดว่ายอดขอรับสิทธิพิเศษในการลงทุนในประเทศไทยจะสูงถึง 7 แสนล้านบาท
โดยอุตสาหกรรมดาวเทียมจะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตที่เพิ่มขึ้นนี้
สามารถรับชมวิดีโอเกี่ยวกับโรงงาน
Factory 1 ของมิว สเปซ รวมทั้งกระบวนการผลิตและชิ้นส่วนสำคัญต่างๆ ได้ที่วิดีโอ Inside mu Space’s Factory 1