18 ต.ค. 2564 27,771 0

แนะนำการตั้งค่า 5G บนมือถือ iPhone 13 และ iPhone 12 ให้เหมาะสมกับการใช้งาน

แนะนำการตั้งค่า 5G บนมือถือ iPhone 13 และ iPhone 12 ให้เหมาะสมกับการใช้งาน

หลายๆ คนรับเครื่อง iPhone 13 แล้ว และได้ใช้งาน 5G กันแล้ว โดย 5G ใช้งานได้บน iPhone 13 และ iPhone 12 ในโมเดลเครื่องศูนย์ไทย บนคลื่น 2600MHz และ 700MHz ซึ่งถ้าเครือข่ายให้บริการคลื่นไหนที่ตัวเครื่องรองรับได้ ก็จะใช้งานได้ แต่จะต้องใช้กับ ซิม 5G, แพ็กเกจ 5G และอัปเดต Firmware ด้วย รวมทั้งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของผู้ให้บริการเครือข่าย และทาง Apple ด้วย

ปัจจุบัน iPhone 13 มีโมเดลที่รองรับ 5G mmWave แต่ยังไม่สามารถใช้งานได้ในประเทศไทย โดยในประเทศไทยจะเป็น 5G บนคลื่น 700MHz และ 2600MHz ใช้งานได้กับ AIS 5G, dtac 5G และ True 5G

ในการใช้งาน 5G และ LTE บนมือถือ Apple จะต้องขึ้นอยู่กับว่า ทางโอเปอเรเตอร์ นำเข้ามือถือโมเดลไหนเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย และรองรับคลื่นความถี่ไหน และที่สำคัญคือ Apple ออก Firmware ที่รองรับเครือข่ายด้วย

ปกติหน้าจอมือถือจะขึ้นสัญลักษณ์ 5G หากมีบริการ 5G ในพื้นที่นั้นๆ แต่จะต้องมีแพ็กเกจรองรับ เปลี่ยนซิมการ์ด และใช้เฟิร์มแวร์ที่ Apple อัปเดตให้รองรับ 5G ด้วย (Update Carrier)

ในขณะที่ iPhone สามารถใช้ 5G บน ซิมจริงและ eSIM ตามเงื่อนไขของผู้ให้บริการ

สัญลักษณ์ไอคอน 5G ในแถบสถานะ (Status Bar)


สถานะ 5G

สามารถใช้งานเครือข่าย 5G ของผู้ให้บริการเครือข่ายของคุณได้ (รองรับ AIS, dtac, True)

สถานะ 5G+ และ 5G UW

คุณสามารถใช้งาน 5G เวอร์ชั่นที่มีความถี่สูงกว่าของผู้ให้บริการเครือข่ายของคุณได้ บริการนี้ยังไม่รองรับการใช้งานในประเทศไทย

สถานะ 5G UC

ย่อมาจาก 5G Ultra Capacity รองรับเฉพาะเครือข่าย 5G UC ของผู้ให้บริการบางรายเท่านั้น เช่น T-Mobile บริการนี้ยังไม่รองรับการใช้งานในประเทศไทย 

การตั้งค่า การเชื่อมต่อ 5G บนมือถือ iPhone


จากผู้ที่ใช้ iPhone 12 มักจะปิด 5G เพื่อประหยัดแบตเตอรี่ แต่สำหรับ 5G บน iPhone 13 ใช้งานได้ประหยัดแบตมากขึ้น จนทำให้เราเปิด 5G Auto ได้ตลอดเวลา

ปกติแล้วการตั้งค่าเริ่มต้นสำหรับ 5G บน iPhone ได้รับการปรับให้เหมาะสมกับระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ และแพ็กเกจที่คุณใช้ หากใช้ 5G ให้ตั้งค่าดังนี้

ไปที่การตั้งค่า > เซลลูลาร์ > ตัวเลือกข้อมูลเซลลูลาร์ หากคุณใช้ซิมคู่ ให้ไปที่การตั้งค่า > เซลลูลาร์ แล้วเลือกตัวเลือกที่ต้องการ


5G อัตโนมัติ หรือ 5G Auto : ใช้ 4G (LTE) และ 5G (หากมีสัญญาณ 5G ครอบคลุมบริเวณนั้น) โดยสลับสัญญาณอัตโนมัติเพื่อประหยัดแบตเตอรี่

เปิด 5G หรือ 5G On : บังคับให้ใช้เครือข่าย 5G เสมอ (เมื่อสามารถใช้งานได้) แต่จะเปลืองแบตเตอรี่

LTE หรือ 4G : จับสัญญาณใช้เฉพาะเครือข่าย LTE หรือ 4G แม้ว่าจะบริเวณนั้นจะสามารถใช้งาน 5G ได้ก็ตาม (คือปิด 5G ไปเลย) ข้อดีคือประหยัดแบต ถ้าใครใช้แค่ Facebook, Social, LINE ใช้ 4G ก็ประหยัดแบตและประหยัดเน็ตได้ พอจะใช้ 5G ค่อยเปิด

โหมดข้อมูล (Data Mode)


Allow more data on 5G (อนุญาตให้ใช้ข้อมูลเยอะขึ้นบน 5G) : เหมาะกับการใช้งานที่อยากใช้ดาต้าหรือเน็ตเร็วๆ ความเร็วสูงๆ เช่น FaceTime คมชัด คุณภาพสูงขึ้น คอนเทนต์ความละเอียดสูงบน Apple TV เพลงและวิดีโอ Apple Music รวมถึงการอัปเดต iOS ผ่านระบบเซลลูลาร์ และข้อมูลสำรอง iCloud โดยอัตโนมัติ (แต่เปลืองเน็ต แนะนำให้ใช้เน็ตแบบ Unlimited)

การตั้งค่านี้ iPhone ของคุณสามารถใช้ 5G แทน Wi-Fi ได้โดยอัตโนมัติ ถ้า Wi-Fi ช้า เครื่องจะบังคับให้ไปเชื่อมต่อ 5G ที่สัญญาณดีกว่าแทน

Standard : โหมดเริ่มต้น โหมดพื้นฐาน อัปเดตแอปต่างๆ สำรองข้อมูล iCloud ทำงานบน Cellular แต่จำกัดคุณภาพวีดีโอและ Facetime

Low Data Mode : ลดการใช้เน็ตบน Cellular พักการอัปเดตแอปอัตโนมัติและการทำงานเบื้องหลัง


อีกวิธีคือการใช้ 5G ซิมคู่ Allow Cellular Data Switching ทำให้ iPhone ใช้เน็ตได้จากทั้ง 2 ซิม ขึ้นอยู่กับเครือข่ายที่รองรับบริการ แนะนำให้สอบถามผู้ให้บริการอีกครั้ง

หมายเหตุ

บน iPhone 13 Pro Max, iPhone 13 Pro, iPhone 13 และ iPhone 13 mini คุณสามารถใช้ eSIM 2 ซิม แยกต่างหากจากซิมจริง โดยสามารถเปิดใช้งานพร้อมกัน 2 ซิม + 1 Nano-SIM (ซิมจริง)

บน iPhone 12 รุ่น, iPhone 11 รุ่น, iPhone XS, iPhone XS Max และ iPhone XR คุณสามารถใช้ Nano-SIM (ซิมจริง) x 1 และ eSIM x 1 แต่ถ้าไม่มีซิมจริง สามารถใช้ eSIM เล่นเน็ต 5G ได้เลย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง iPhone 13 กับการใช้งาน 5G - รองรับการใช้งานบนเครือข่าย 5G ใน 60 ประเทศ และใช้งานได้กับ 200 โอเปอเรเตอร์ในปีนี้

https://www.apple.com/iphone/cellular/ 

https://support.apple.com/th-th/HT211828