อะโดบีเปิดตัวนวัตกรรมบน Creative
Cloud ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี
Adobe Sensei
เร่งการสร้างวิดีโอและการทำงานร่วมกันของฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ด้วยการเพิ่ม Frame.io,
พัฒนาต่อยอดเทคโนโลยี 3D
และ Immersive
พร้อมพรีวิว Photoshop
และ
Illustrator บน “เว็บ”
อะโดบี (Nasdaq: ADBE) เปิดงาน Adobe MAX 2021 ซึ่งเป็นการประชุมด้านครีเอทีฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมนำเสนอนวัตกรรมที่หลากหลาย ครอบคลุมแอพพลิเคชั่นหลักๆ ของ Creative Cloud และมีการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ สำหรับการทำงานร่วมกัน ซึ่งจะยกระดับงานสร้างสรรค์สำหรับลูกค้าหลายล้านคนทั่วโลก ตั้งแต่นักศึกษา ไปจนถึงครีเอเตอร์บนโซเชียลมีเดีย และมืออาชีพด้านงานครีเอทีฟ
เพื่อรองรับโครงการ Content Authenticity Initiative อะโดบีได้นำเสนอ Content Credentials ใน Photoshop ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่สามารถเลือกใช้เพื่อแสดงข้อมูลอัตลักษณ์ของผู้สร้างหรือครีเอเตอร์ รวมถึงประวัติการแก้ไข ซึ่งจะช่วยให้ครีเอเตอร์ได้รับเครดิตจากผลงานของตนเอง นอกจากนั้น Content Credentials ยังเชื่อมต่อกับตลาด NFT อีกด้วย และพร้อมกันนี้ อะโดบีได้ปรับใช้รูปแบบการสมัครสมาชิกสำหรับ Behance เพื่อช่วยให้ครีเอเตอร์มีรายได้จากผลงานของตน
สก็อต เบลสกี้ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ และรองประธานบริหารฝ่าย Creative Cloud ของอะโดบี กล่าวว่า “งานครีเอทีฟมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทำงาน อะโดบีจึงนำเสนอฟีเจอร์ใหม่ๆ สำหรับการทำงานร่วมกัน รวมถึงฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และแอพพลิเคชั่นที่รองรับการใช้งานบนเว็บเป็นหลัก โดยทั้งหมดนี้รวมอยู่ใน Creative Cloud ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างเต็มศักยภาพ เราปรับโฉมผลิตภัณฑ์และบริการ Creative Cloud เพื่อเชื่อมต่อทีมงานฝ่ายครีเอทีฟเข้าด้วยกัน พร้อมทั้งรองรับวิธีการใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์ และเสริมศักยภาพให้กับบุคลากรในสายงานครีเอทีฟ”
ด้วยอัพเดตล่าสุดของแอพหลักๆ บน Creative Cloud ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Adobe Sensei AI อะโดบีได้กำหนดทิศทางในอนาคตสำหรับงานครีเอทีฟ
ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยเทคโนโลยีและฟีเจอร์สำคัญที่เปิดตัวในงาน MAX ได้แก่:
·
Photoshop: ฟิลเตอร์
Neural สามแบบที่ขับเคลื่อนด้วย
AI ใน Photoshop รุ่นเดสก์ท็อป
และการสนับสนุนไฟล์ Camera Raw บน iPad
·
Lightroom/Lightroom
Classic: ฟีเจอร์ Masking ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี
ML
ซึ่งมีประสิทธิภาพและแม่นยำมากขึ้น พร้อมการตั้งค่าพรีเซ็ตและ Community Remixing
·
Premiere Pro: ปรับปรุงฟีเจอร์ Speech-to-Text
และฟีเจอร์ Remix รุ่นเบต้า
ซึ่งขับเคลื่อนด้วย Sensei
·
After Effects: พรีวิวและเรนเดอร์เร็วขึ้น
ด้วย Multi-Frame
Rendering และฟีเจอร์ Scene Edit Detection รุ่นเบต้า ซึ่งขับเคลื่อนด้วย Sensei
·
Illustrator: ปรับปรุงเอฟเฟ็กต์ 3D และการเข้าถึงวัสดุ Substance 3D บนเดสก์ท็อป
และพรีวิวเทคโนโลยี Vectorize ซึ่งขับเคลื่อนด้วย Sensei บน iPad
·
Character Animator: ด้วยเทคโนโลยี Adobe Sensei ครีเอเตอร์จะสามารถทำให้ภาพร่างกายทั้งหมดเคลื่อนไหวด้วย Body Tracker
โดยใช้การเคลื่อนไหวร่างกายและท่าทางเพื่อทำให้หุ่นเคลื่อนไหว
·
Substance
3D: การบูรณาการที่กลมกลืนมากขึ้นสำหรับคอนเทนต์
3D, เอฟเฟ็กต์ และความสามารถต่างๆ ใน Illustrator, XD และ Stock โดยแอพใหม่ Modeler (รุ่น Private Beta) เข้าร่วมใน
Substance
3D Collection ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยี 3D และ Immersive จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผู้ใช้กำหนดอนาคตของงานสร้างสรรค์
·
Fresco: เปลี่ยนเลเยอร์ภาพวาดให้กลายเป็นเลเยอร์แอนิเมชั่นเพื่อสร้างภาพเคลื่อนไหว
วาดภาพโดยใช้เส้นกริดและเส้นไกด์สำหรับเปอร์สเปคทีฟแบบใหม่
และใช้เลเยอร์การปรับเปลี่ยนแบบไม่ทำลาย (non-destructive adjustment layers)
เพื่อสำรวจและปรับแต่งสี
รองรับการสร้างสรรค์ผลงานโดยอาศัยการเชื่อมต่อ
ที่การประชุม MAX อะโดบีได้แสดงตัวอย่างพรีวิวสำหรับการทำงานครีเอทีฟบนเว็บในอนาคต
ซึ่งจะช่วยให้ทีมงานครีเอทีฟสามารถทำงานร่วมกันในแบบเรียลไทม์บนเซอร์เฟสที่หลากหลาย
และครอบคลุมฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดหรือใช้อุปกรณ์ใดก็ตาม
·
Frame.io: ภายหลังการเข้าซื้อกิจการของ
Frame.io เมื่อไม่นานมานี้
อะโดบีได้ผนวกรวม Premiere Pro และ After
Effects
ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์การตัดต่อวิดีโอระดับชั้นนำของอะโดบี เข้ากับฟังก์ชั่นของ Frame.io
เพื่อนำเสนอแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกันที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มความรวดเร็วให้กับกระบวนการทำงานครีเอทีฟเป็นอย่างมาก
แพลตฟอร์มแบบคลาวด์เนทีฟของ Frame.io
นับเป็นวิธีที่สะดวกและปลอดภัยสำหรับการรวมความเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในกระบวนการผลิตวิดีโอ
และช่วยให้ทุกคนมีส่วนร่วมในขั้นตอนการทำงานครีเอทีฟอย่างมีประสิทธิภาพ
·
Photoshop
(รุ่น Beta) และ Illustrator (รุ่น Private
Beta) บนเว็บ: การใช้งานผ่านเบราว์เซอร์ ซึ่งผู้ใช้
ทีมงาน และฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจะสามารถดู แชร์ และแสดงความเห็นบนคลาวด์ด็อกคิวเม้นท์บนเว็บได้
ผู้ใช้ที่เป็นสมาชิก Photoshop จะสามารถแก้ไขและรีทัช/ปรับแต่งภาพได้อย่างรวดเร็ว
ขณะที่สมาชิก Illustrator
จะสามารถเข้าถึงเครื่องมือออกแบบที่จำเป็น
รวมถึงเวิร์กโฟลว์การแก้ไขโดยใช้ชุดฟีเจอร์เบื้องต้น
·
Creative
Cloud Spaces (รุ่น Private Beta): พื้นที่ดิจิทัลสำหรับขับเคลื่อนการทำงานร่วมกันระหว่างทีมงานต่างๆ
โดย Creative Cloud Spaces จะเพิ่มความง่ายในการตัดสินใจ
โดยรวมทุกสิ่งที่ต้องการไว้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นไฟล์โปรเจ็ค ไลบรารี
และลิงก์ภายนอก ซึ่งทุกคนสามารถเข้าใช้งานเพื่อผลักดันโปรเจ็คครีเอทีฟตั้งแต่ต้นจนจบ Creative Cloud Spaces สามารถเข้าถึงได้จากคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปและโมบายล์ผ่านทาง
Creative Cloud Web และพร้อมใช้งานในโปรแกรม Photoshop,
Illustrator, Fresco และ
XD
·
Creative Cloud
Canvas (รุ่น Private Beta): เพื่อยกระดับการทำงานร่วมกัน Canvases
ช่วยให้ทีมงานจัดวางเลย์เอาต์
แสดงผล และตรวจสอบงานครีเอทีฟร่วมกันในแบบเรียลไทม์
โดยไม่ต้องออกจากเบราว์เซอร์ ทั้งนี้
บนผืนผ้าใบ (Canvas) ทีมงานจะสามารถวางรูปทรง ข้อความ รูปภาพ และสติ๊กเกอร์
รวมถึงเอกสารที่เชื่อมโยงจากแอพ Creative Cloud เพื่อให้คนอื่นๆ สามารถทำการแก้ไขงานครีเอทีฟต้นฉบับได้อย่างรวดเร็วภายในแอพที่เกี่ยวข้องด้วยการคลิกเพียงครั้งเดียว
นอกจากนี้ ยังมีปลั๊กอินใหม่ Workfront สำหรับ Photoshop ซึ่งช่วยให้ครีเอทีฟสามารถทำงานร่วมกันภายในบริบท ด้วยหน้าจออัพเดต Workfront
ที่รวมอยู่ใน Photoshop
ครีเอเตอร์จะสามารถดูงานและปัญหาต่างๆ และโพสต์ หรือดูคอมเมนต์ที่เกี่ยวข้องกับโปรเจ็คที่ทำอยู่
เพื่อให้ครีเอเตอร์ได้รับเครดิตสำหรับผลงานของตนเอง
อะโดบีจึงได้เชื่อมต่อฟีเจอร์ Content Credentials เข้ากับตลาด
NFT
สำหรับการระบุแหล่งที่มาเพิ่มเติม
และสุดท้าย Adobe Stock จะแนบ Content
Credentials
เข้ากับภาพต่างๆ โดยอัตโนมัติ เมื่อมีการดาวน์โหลดภาพ
การประชุม MAX
ประกอบด้วยเซสชั่นการบรรยายและห้องปฏิบัติการกว่า 400 รายการ และคอนเทนต์ระดับโลกความยาว 29
ชั่วโมง
ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ความรู้และสร้างแรงบันดาลใจ ผู้สนใจสามารถรับชมการกล่าวสุนทรพจน์
เข้าร่วมการประชุมสัมมนา และติดต่อทำความรู้จักกับคนในแวดวงครีเอทีฟได้ที่ max.adobe.com